สำหรับใครที่กลัวตามไม่ทันหรือยังไม่ได้อ่านตอนที่แล้วสามารถตามเข้าไปอ่านได้เลยค่า
มาสัมผัสหัวใจของประเทศญี่ปุ่นด้วยเส้นทางมังกรทะยานฟ้า SHORYUDO กันเถอะ! (ตอนที่ 1/2)
กิฟุ : มรดกโลกกัสโซทสึคุริสไตล์ เพลิดเพลินบันเทิงใจกับเนื้อวัวฮิดะ อร่อยกับโฮบะมิโสะ เดินสัมผัสกับบรรยากาศญี่ปุ่นมินิมอลสไตล์ ณ คามิซันโนมาจิ ตบท้ายด้วยตลาดริมแม่น้ำที่ตลาดเช้ามิยากาว่า
จังหวัดกิฟุเป็นจังหวัดที่มีทั้งเขตที่มีภูเขาสูงกว่า 3,000 เมตรและที่ราบลุ่มแม่น้ำในจังหวัดเดียวกัน ซึ่งด้วยความแตกต่างในลักษณะภูมิประเทศของกิฟุนี้ทำให้จังหวัดนี้มีแม่น้ำที่ใสสะอาด ความหลากหลายด้านทัศนียภาพและวัฒนธรรม เป็นอย่างมาก ซึ่งเรียกได้ว่าแทบจะทุกพื้นที่ของจังหวัดเลยก็ได้ สำหรับจังหวัดสถานที่ๆ คอเที่ยวญี่ปุ่นพลาดไม่ได้เลยนั้น ได้แก่ หมู่บ้านชิราคาวะ(ชิราคาวะโก) และชุมชนพื้นเมืองดั้งเดิมฮิดะ-ทาคายามะ ส่วนอาหารที่ขึ้นชื่อขอเรียนเชิญคอเนื้อให้มาลิ้มลองเนื้อวัวฮิดะที่หลายต่อหลายคนให้ความเห็นเป็นเสียงเดียวว่าอร่อยนุ่มลิ้นราวกับละลายทันทีเมื่อเข้าปาก หรืออย่างมิโสะย่างใบโฮบะ ซึ่งรับรองว่ารสชาติถูกในชาวไทยอย่างเราๆ แน่นอน ^ 0 ^,,
ภาพวิวทิวทัศน์ระหว่างเดินทางมายังชิราคาวะโก
หมู่บ้านชิราคาวะ / Shirakawa-go (白川郷)
หมู่บ้านชิราคาวะหรือที่หลายๆคนรู้จักในชื่อ “ชิราคาวะโก” ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในมรดกโลกภาพและภูมิปัญญาสุดล้ำ เวลาที่เราทอดสายตามองยาวไปจะพบกับหลังคาหน้าจั่วทรงสูงที่หันมาหาเราเป็นทางเดียวกัน ซึ่งสถาปัตยกรรมแบบนี้นี้คนญี่ปุ่นเรียกว่า "กัสโซทสึคุริ (Gashho-zukuri)" โดยคำว่ากัสโซนั้นมีความหมายว่า “การพนมมือ” และทสึคุริที่แปลว่า "การสร้าง" เมื่อนำมารวมกันแล้วก็แปลว่า "การสร้างบ้านที่มีรูปทรงเหมือนคนพนมมือ" นั่นเอง โดยรูปทรงของหลังคาทรงสูงนี้ทำให้หมู่บ้านนี้สามารถกับลมกันฝนได้ดี และโดยเฉพาะในหน้าหนาวก็สามารถป้องกันหิมะกดทับหลังคาบ้านได้อีกด้วย และที่หลายๆ คนอาจจะไม่รู้นั่นก็คือการบ้านแบบกัสโซทสึคุรินี้ไม่มีการนำตะปูมาใช้ในการก่อสร้าง เลยแม้แต่ตัวเดียวจ้า เรียกได้ว่าเป็นภูมิปัญญาที่เด็ดดวงไม่น้อยทีเดียว ที่สำคัญคือชาวชิราคาวะเองก็มีอัธยาศัยดีและมีน้ำใจคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันค่ะ เพราะอย่างนั้นเรื่องที่ว่าจะเจอคนท้องถิ่นไม่ต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ น่ะหายห่วงได้เลย!
พอลงจากรถปุ๊บก็ขอแซะซักนิด แต่ตัวบ้านจริงๆก็ขนาดใหญ่อยู่ไม่น้อยเหมือนกันนะ!
จากนั้นเราก็จะเดินเข้าไปชมหมู่บ้านกันแบบใกล้ๆ จะต้องข้ามสะพานผ่านแม่น้ำโชกาวะค่ะ เอาล่ะ! เรียงแถวเดินตามกันมาเลย !(' u ',,>
ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวมาก และไม่เคยมีฤดูหนาวปีไหนที่แม่น้ำสายนี้จะเป็นน้ำแข็งทั้งสายเลยค่ะ
ซักพักรู้ตัวอีกทีมองซ้ายมองขวาก็จะเป็นบ้านแบบกัสโซทสึคุริทั้งหมด มีทั้งร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร รวมไปถึงโฮมสเตย์ต่างๆ
มีร้านขายของฝากให้พวกเราได้ไปจับจ่ายซื้อของฝากตามใจฉัน
มีพร็อบให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปกันแบบชิคๆ ด้วย ดีใจกัน
มีของที่ระลึกน่ารักๆแบบนี้ ผู้หญิงอย่างเราๆใครมันจะไปอดใจไหวล่ะเน๊อ
ส่วนที่นี่คือบ้านวาดะซึ่งเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวได้ชมกันถึงภูมิปัญญาและการใช้ชีวิตของชาวชิราคาวะในสมัยอดีต
หลังจากเดินชมจนเพลินตาแล้ว ก็แวะทานข้าวซักหน่อยกับ Houba Miso Lunch set ที่ได้ทานในมื้อนี้
จากนั้นก็เดินทางไปชมหมู่บ้านที่จุดชมวิวชิโรยามะ พอเห็นบ้านที่มีแต่หลังคาที่เต็มไปดัวยหิมะหนาๆ แล้วมันก็สวยแปลกตาในอีกแบบนึง น่าเสียดายที่กระรอกไปเร็วกว่ากำหนดการ Light-up ประจำปีไป 2-3 วัน ไม่งั้นคงได้ถ่ายรูปหมู่บ้านสวยๆท่ามกลางแสงไฟและหิมะมาอวดเพื่อนๆกัน
ชมได้ไม่ทันไรก็ต้องรีบกลับไปขึ้นรถบัสเพื่อมุ่งไปสู่ทาคายามะซะแล้ว
และแล้วเราก็เริ่มออกเดินทางกันอีกครั้ง (' v '..
ฮิดะ ทาคายามะ / Hida Takayama (飛騨高山)
เมื่อมาถึงที่ฮิดะ ทาคายามะ ทุกคนจะได้สัมผัสและเพลิดเพลินกับวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นตลาดเช้ามิยากาว่าที่จะมีพ่อค้าแม่ค้าเกษตรกรเข้ามาขายผลผลิตทางการเกษตร หรือแสดงงานไม้งานฝีมือของตัวเองให้แม่บ้านชาวญี่ปุ่นมาจับจ่ายผักสดอร่อย หรือนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ สามารถซื้อเครื่องประดับไม้ หรือจะตุ๊กตาผ้าไปฝากหลานที่บ้านก็ได้เช่นกัน นอกจากนี้ก็สามารถเดินช็อป-ชิม-ชิลล์ในย่านการค้าเก่าแก่ที่ได้รับฉายาว่าเป็น “ลิตเติ้ลเกียวโต” ซี่งนอกจากจะเป็นเมืองเก่าแก่แล้ว ผู้คนที่นี่ล้วนขึ้นชื่อในเรื่องความเชี่ยวชาญเรื่องงานช่าง อาทิ งานไม้ช่างปั้นดินเผา ช่างหล่อพระ หรือแม้แต่นายช่างที่สร้างศาลเจ้าส่วนใหญ่ก็ย้ายเข้ามาพำนักหรือตั้งถิ่นฐานกันที่นี่
หลังจากนั่งรสบัสต่อมาที่ทาคายามะ เราก็เดินแวะไปฝากสัมภาระและเช็คอินที่ Hida Hotel Plaza ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานี Takayama นัก ก่อนจะเดินออกมาชมเมืองฮิดะ อย่างแรกที่กระรอกนุ๊ยมุ่งตรงมาเลยก็ตรงริมแม่น้ำมิยากาว่าก่อนเลย
วิวทิวทัศน์ระหว่างเดินชมริมแม่น้ำมิยากาว่า ซึ่งเมื่อเดินอีกนิดก็จะเป็นที่ตั้งของตลาดเช้ามิยากาว่าที่ฮอตฮิตของชาวญี่ปุ่นและคนต่างชาติ
จากสัมผัสบรรยากาศจริงๆแล้วตอนเช้าที่มีตลาดคงจะคึกคักน่าดูเลยล่ะค่ะ
ถ้ามองดูดีๆ จะเห็นนกเป็ดน้ำหรือปลาคาร์ฟแหวกว่ายอยู่ในแม่น้ำด้วยล่ะค่ะ
ถึงแม้ว่าจะไม่มีตลาดในช่วงเย็นแล้วแต่ก็ยังมีคนญี่ปุ่นมาเดินเล่นกินบรรยากาศอยู่เหมือนกันนะคะ เป็นสถานที่ผ่อนคลายได้ดีที่หนึ่งเลยล่ะค่ะ
เดินเล่นเพลินๆก็สุดทางตลาดเสียแล้ว
สำหรับคนที่เดินแล้วยังไม่จุใจเหมือนกระรอกนุ๊ย เมื่อสุดทางตลาดซ้ายมือเยื้องๆ กันประมาณ 100 เมตร ก็จะมีย่านคามิซันโนมาจิที่คงความเป็นญี่ปุ่นได้อย่างสมบูรณ์ แต่สิ่งแรกที่ทำให้เตะตาเตะจมูกที่ต้องหันไปก่อนเลยนั่นก็คือนิกุมัน หรือซาลาเปาเนื้อ!!! (แต่กระรอกนุ๊ยทานเนื้อไม่ได้เลยจบกัน Y u Y,,)
ร้านซาลาเปาเนื้อที่คนไม่ทานเนื้อยังต้องหันหน้าไปมอง (ก็มันหอมอ๊ะ!)
คามิซันโนมาจิแห่งนี้เป็นย่านการค้าที่รุ่งเรืองในสมัยเอโดะ ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ยังคงสิ่งก่อสร้างในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี แต่ภายในก็ปรับเปลี่ยนไปเป็นโรงกลั่นเหล้า ร้านคาเฟ่ ร้านขายของที่ระลึก ฯลฯ ตามการใช้สอย ทุกคนสามารถมาเดินแบบชิคๆ ถ่ายรูปเพลินๆในย่านนี้ได้ทุกวันตั้งแต่ 9 โมงเช้า - 5 โมงเย็นเลยล่ะค่ะ
สำหรับใครที่อยากจะซื้อสาเกกลับบ้าน ไม่ว่าจะเอากลับไปทานเอง หรือจะเอาไปฝากผู้ใหญ่ ในย่านคามิซันโนมาจิแห่งนี้
ก็มีบริการให้ท่านชิมก่อนที่จะซื้อติดไม่ติดมือไปด้วยนะคะ รับรองว่าต้องถูกใจหลายๆ คนแน่นอนเพราะมีสาเกญี่ปุ่นที่ได้รับรางวัลกันหลายตัวเลยทีเดียวค่ะ
มานั่งชิมจิบในห้องสวยๆ เลือกรสชาติที่ชอบสบายๆ กันได้เลยค่ะ
ถนนหนทางของชาวญี่ปุ่น เดินทะลุมาไม่นานเราก็จะเจอ Nakabashi หรือสะพานสีแดงที่เป็นจุดแลนด์มาร์กประจำฃองเมืองฮิดะทาคายามะ
ทิวทัศน์รอบๆ สะพานแดง Nakabashi ค่ะ ช่วงที่ซากุระกำลังบานคงจะสวยน่าดู
ขากลับถนนหนทางก็ประดับไปด้วยไฟสวยๆ เดินไปก็เพลินดีเหมือนกัน
พอมาถึงโรงแรมเราก็ตัดสินใจทานอาหารเย็นที่โรงแรมค่ะ แต่เนื่องจากกระรอกนุ๊ยทานเนื้อวัวอร่อยๆ อย่างเนื้อฮิดะไม่ได้
เลยเลือกทานเป็นหมูพันธุ์ดีชื่อว่า "อุมะบุตะ" รสชาติเป็นหมูอร่อยสูสีกับคุโรบุตะได้เลยล่ะค่ะ
ที่ Hida Hotel Plaza นี้นอกจากจะมีออนเซ็นให้แช่และยังมีอ่างจากุซซี่บนชั้นดาดฟ้าให้เราชมดาวไปเพลินๆ ใครที่ชอบแช่ออนเซ็นกระรอกนุ๊ยคิดว่าเพื่อนๆ จะต้องชอบโรงแรมนี้แน่นอนค่ะ หลังจากที่พักผ่อนกันเต็มอิ่มเช้าวันรุ่งขึ้นกระรอกนุ๊ยก็ออกเดินทางเก็บตกที่ตลาดเช้ามิยากาว่าอีกครั้งก่อนจะเซย์บ๊ายบายกับทาคายามะ
ส่วนใหญ่จะมีขายพวกผักและผลไม้ท้องถิ่น มีผักดองที่แพคสูญญากาศไว้อย่างดี ใครที่ชื่อนชอบทางผักดอกก็มีให้ชิมก่อนตัดสินใจซื้อนะคะ
นอกจากนี้ก็จะมีพวกของที่ระลึกต่างๆ งานไม้ งานฝีมือน่ารักๆ ใครที่ชอบของพวกนี้เลือกกันไม่หวั่นไม่ไหวกันเลยทีเดียว (กระรอกนุ๊ยล่ะคนนึง /ฮา) นอกจากจะมีผักดองแล้ว ก็ยังมีขนมแห้งๆให้ซื้อกลับไปฝากญาติพี่น้องมิตรสหายกันได้
ร้านนี้จะขายของที่ระลึกที่ชื่อว่า "ซารุโบโบ้(Sarubobo)" ค่ะ ตุ๊กตาตัวนี้จะเป็นตุ๊กตาลิงที่ไม่มีหน้าค่ะ
ซึ่งมีเรื่องเล่ามากจากสมัยก่อนในฤดูหนาวที่หิมะตกไม่สามารถทำการเกษตรได้ คุณยายจึงเริ่มเย็บตุ๊กตาให้กับหลานสาว
แต่เนื่องจากสมัยก่อนผู้หญิงไม่มีความรู้ ยังอ่านเขียนไม่เป็น ตุ๊กตาตัวนั้นจึงไม่มีหน้าตา จึงเป็นที่มาของเจ้าซารุโบโบ้ ตุ๊กตาลิงไม่มีหน้า
ซึ่งปัจจุบันก็สืบทอดกันมาจนกลายเป็นเครื่องรางนำโชคสำหรับสาวๆโดยเฉพาะค่ะ
นอกจากงานฝีมืออย่างผ้าก็มีงานไม้แกะสลักแบบนี้ด้วย ร้านนี้กระรอกนุ๊ยยอมกายถวายใจ ได้เข็มกลัดกระรอกมา 1 ชิ้นถ้วน
ที่น่าสนใจคือตัวที่เป็นลูกนัท ถ้าเขย่าจะได้ยินเสียงกรุ๊งกริ้งด้วยล่ะ! ตอนนี้รู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ซื้อกลับมามากค่ะ Y _ Y
แอบไปถามคนท้องถิ่น ว่าปกติร้านค้าจะมีเยอะประมาณไหน เพราะเห็นวันนี้มากันประปราย เขาบอกว่าที่จริงปกติจะมาเต็มที่เลียบทางน้ำเลย แต่เพราะว่าเมื่อคืนที่ผ่านมามีหิมะตก เช้าวันนี้พ่อค้าแม่ขายเลยเดินทางมากันลำบาก ร้านรวงที่มาเลยค่อนข้างน้อยกว่าปกติ น่าเสียดายเนอะ
หลังจากที่เราเดินกลับมาหยิบกระเป๋าที่โรงแรมแล้ว เราก็เดินทางไปยังสถานีรถบัสเพื่อออกเดินทางอีกครั้งมุ่งหน้าสู่นาโกย่า ด้วยบัตร SHORYUDO Highway Bus Ticket ค่ะ
นาโกย่า : ศูนย์รวมการเดินทาง หม่ำมิโสะคัตสึรสเด็ด สักการะเจ้าแม่กวนอิม ช๊อปปิ้งย่านซาคาเอะ ทะลุมิติย้อนเวลาในสมัยเมจิ
อย่างที่ได้กล่าวเอาไว้ในตอนที่หนึ่งว่านาโกย่าเป็นเมืองที่เป็นศูนย์รวมการเดินทางในภูมิภาคจูบุ และแถบโชริวโดที่กระรอกนุ๊ยพามาเที่ยวกันในตอนนี้ค่ะ นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่อยู่ระหว่างมหานครโตเกียว และโอซาก้าอีกด้วย ซึ่งถ้าหากเพื่อนๆ ไม่อยากจะเดินทางมาเนี่ยแค่ที่นี่ก็ยังสามารถไปต่อที่ย่านคันโตหรือคันไซได้ตามสะดวกเลยค่ะ แต่อย่างไรก็ตามที่นายโกย่าก็นั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่เหมือนกัน อย่างปราสาทนาโกย่า วัดโอสุคันนงย่านการค้าโอสุ ย่านการค้าซาคาเอะ ปราสาทอินุยามะ อย่างลิตเติ้ลเวิร์ล หรือหมู่บ้านเมจิที่ทุกคนสามารถเพลินเพลินกับการท่องเที่ยวและช็อปปิ้งได้ไม่แพ้เมืองใหญ่เมืองอื่นๆ เลยค่ะ และคนที่ชื่นชอบเรื่องกินๆ อย่าลืมพลาดที่จะต้องลองทานฮิตสึมาบุชิ(ข้าวหน้าปลาไหลสับ) เทบะซากิ(ปีกไก่ทอดสไตล์นาโกย่า) หรือมิโสะคัตสึ(ทงคัตสึราดซอสมิโสะ)ให้ได้นะคะ
ก่อนจะถึงบัสเซ็นเตอร์ ก็มีอันปังแมนมาทักทายที่สีแยกล่ะ /ฮา
พอมาถึงปุ๊บก็เอากระเป๋าไปฝากพร้อมกับเช็คอินที่โรงแรม Meitetsu Grand Hotel ที่อยู่ติดกันซึ่งเราจะได้กลับมาพักกันในคืนนี้
พอฝากของเรียบร้อยเราก็จับกระเป๋าสตางค์กันไว้ให้แน่นเพราะเราจะไปช็อปปิ้งที่ห้าง Meitetsu ที่อยูอาคารเดียวกัน ที่นี่มี MUJI ที่ใหญ่มาก ซึ่งกระรอกนุ๊ยขอแนะนำให้มาเดินกันให้ได้นะ แอบขอกระซิบเตือนขาช๊อปว่าจำได้ไหมเอ่ยตอนแรกที่เราซื้อเจ้า SHORYUDO Highway Bus Ticket มาเนี่ย เค้าแถมอะไรมาให้เราด้วยน๊า? (อิ v อิ,,
ใช่แล้ว?! คูปองส่วนลด 5% และยังสามารถ Tax Refund ได้อีก 8% (เอารูปเก่ามาหากินแป๊บนึง /ฮา)
ซึ่งไม่ได้มีแค่ตึกเดียวนะคะ ที่ห้าง Meitetsu นี้มีอยู่สองตึกด้วยกัน ซึ่งรับรองว่าช็อปกันมันส์กระจายแน่นอน! และสำหรับใครที่ซื้อของแล้วไป Refund พร้อมกับคูปองที่ว่า จะได้รับของที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ ติดไม้ติดมือกลับไปเพิ่มอีกด้วย
หลังจากนั้นเราก็ไปทานมิโสะคัตสึ (ทงคัตสึราดซอสมิโสะ) หนึ่งในของขึ้นชื่อของนาโกย่า ร้านที่กระรอกนุ๊ยไปทานชื่อร้าน Yabaton ค่ะ แต่ละอย่างของที่นี่ไซส์ใหญ่มากจริงๆ เห็นแล้วตกใจสู้ไม่ลง เลยจัดแบบเบาๆไปค่ะ
หน้าตาของมิโสะคัตสึค่ะ อันนี้กระรอกนุ๊ยสั่ง Hire Tonkatsu Set ค่ะ (ราคา 1,728 เยน)
หลังจากทานจนอิ่มหนำสำราญพุงแล้ว เราก็ออกเดินทางไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์กันซักหน่อย
วัดโอสุคันนง / Osu kannon (大須観音)
โอสุคันนงนั้นเป็นวัดที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่มายาวนาน ซึ่งสร้างโดยโนชิน โชวนินในปี ค.ศ. 1324 ภายหลังต่อมาได้กลายมาเป็นเป็นวัดประจำตระกูลโอดะอีกด้วย วัดโอสุคันนงแห่งนี้ขึ้นชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์และเป็น 1 ใน 3 ของวัดเจ้าแม่กวนอิมที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น
หน้าทางเข้าวัด เมื่อเดินเข้าไปทางด้านขวามือมองไปจะเห็นธงเรียงรายอยู่ให้พรึ่บ
เมื่อเดินเข้าไปจะเห็นวัดทางด้านซ้ายมือ เมื่อเข้าไปจะพบกับเจ้าแม่กวนอิมประทับอยู่ตรงกลางค่ะ
(คนญี่ปุ่นบอกว่าเวลาเข้าไปสักการะให้ใช้ เหรียญ 5 เยนจะสื่อถึงเจ้าแม่กวนอิมได้ดีที่สุดล่ะ!)
หลังจากเดินแวะเข้าไปสักการะเจ้าแม่กวนอิมแล้วเดินตรงเข้ามาก็จะเป็นย่านการค้าโอสุค่ะ ซึ่งคึกคักมากกว่าสถานที่อื่นๆในทริปนี้ที่กระรอกนุ๊ยเดินทางผ่านมา ย่านโอสุนี้มีร้านรวงละลานตา ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร คาเฟ่ชื่อดัง เครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า ร้านเครื่องสำอาง เรื่องหนัง อุปกรณ์การกีฬา รวมไปถึงร้านมือสองยักษ์ใหญ่อย่างKOMEHYO (โคเมะเฮียว) ที่จะมาเขย่าเงินในกระเป๋าของทุกคนด้วย
เข้ามาในย่านการค้าโอสุแล้ว
KOMEHYO (โคเมะเฮียว)
เป็นร้านขายสินค้ามือสองเจ้าใหญ่ในญี่ปุ่น ซึ่งมีจำหน่ายสินค้าแบรนด์เนมหลากหลายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กิโมโน เครื่องประดับ กระเป๋า นาฬิกา เครื่องดนตรี อุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ ที่ทุกคนสามารถไว้วางใจในตัวสินค้าได้ว่าเป็นมีสภาพดีและเป็นของแท้ 100% แน่นอน และมีราคาย่อมเยาว์แม้กระทั่งคนญี่ปุ่นก็นิยมมาซื้อกันที่นี่ เพราะบางทีของที่มาขายก็เป็นของใหม่ยังไม่ได้ใช้เลยก็มีเหมือนกันค่ะ หรือถ้าใครที่อยากซื้อของมือหนึ่งไม่เคยผ่านมือใครก็มีจำหน่ายเช่นกันค่ะ ซึ่งทางร้านก็จะแยกโซนให้อย่างชัดเจน เรียกได้ว่าจะชาย จะหญิง จะกระเป๋าหรือหนักกระเป๋าเบาก็สามารถช็อปกระจายได้ไม่แพ้กัน
หรือถ้าใครเลือกไม่ถูก อันนี้ก็ชอบ อันนี้ก็ใช่ ที่โคเมะเฮียวก็มีสินค้าสองชั่งตามน้ำหนักให้หนุ่มๆ สาวๆ ได้มาฝึก DIY Mix & Match กันเองตามสไตล์เจ้าตัว เสร็จแล้วเอาน้ำหนังมาชั่ง คูณ กับราคาต่อกรัม แค่นี้ก็ได้ชุดสวยๆ มือสองคุณภาพดีไปแล้วก็มีเหมือนกัน
เข้าย่านการค้าโอสุได้ไม่นานจะเจอ KOMEHYO อยู่ทางด้านซ้ายมือค่ะ ในส่วนตรงนี้จะมีแค่ 2 ชั้น และขายแต่ชุดกิโมโนอย่างเดียว
วันที่กระรอกนุ๊ยไปมีบุฟเฟ่ต์ชุดกิโมโนด้วยนะ คือเราซื้อถุงจากเขามาใบนึง แล้วเราก็สามารถหยิบไปได้กี่ชิ้นก็ได้ถ้าเราสามารถยัดมันใส่ถุงได้ค่ะ ซึ่งชุดกิโมโนก็จะมีทั้งเด็ก ผู้ชาย และผู้หญิงกันเลยทีเดียว
ด้วยความที่เป็นเมืองเก่าแก่เมืองหนึงในญี่ปุ่น ก็จะพบวัดหรือศาลเจ้าในแถบนี้ให้เห็นอยู่มากมาย
ก่อนสุดทางก็จะมีโคเมะเฮียวที่จำหน่ายอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์และเครื่องดนตรีทางด้านซ้ายมือ ซึ่งจะมี Tourist Information ที่ให้ข้อมูลการท่องเที่ยวในแถบโชริวโดกันด้วย ใครสนใจพวกอิเล็คโทรนิกส์ก็แวะเข้าไปชมกันก่อนได้นะ!
สุดทางออกมาเจอหน้าถนนก็จะเจอโคเมะเฮียวซึ่งเป็นอาคารหลักในย่านการค้าโอสุแห่งนี้ ภายในมีทั้งหมด 7 ชั้นด้วยกันค่ะ
และถ้าขึ้นไปที่ชั้น 7 แล้วล่ะก็ ก็จะมีโซน Mix & Match อย่างที่กล่าวเอาไว้ข้างต้นค่ะ ซึ่งก็มีราคาตั้งแต่ 1 เยน ไปจนถึง 4 เยนต่อกรัม เรียกได้ว่าหนุ่มสาวขาช๊อปมีกรี๊ด
ที่อาคารใหญ่นี้ก็จะมีขายสินค้าเสื้อผ้าแบรนด์เนมทั้งชาย-หญิง กระเป๋า เครื่องประดับต่างๆ แบ่งเป็นชั้นๆให้เหลือกันอย่างสะดวกสบาย ส่วนเรื่องของใหม่ของเก่าอันนี้ไม่ต้องกังวลค่ะ เพราะเขาจะแยกพื้นที่ของเก่ากับของใหม่อย่างชัดเจน หรือถ้าสนใจตัวไหนก็ลองดูที่ป้ายราคาก่อนได้ค่ะ ของเก่าที่ป้ายราคาจะเขียนว่า Used ของใหม่จะเขียนว่า New ค่ะ
สำหรับใครที่ไม่สนใจแบรนด์เนมแต่สนใจ Street Fashion แบบหนุ่มๆ สาวๆ ชาวนาโกย่าแล้วล่ะก็ก็ยังสามารถเดินช็อป ชิม ชิลล์ได้ตลอดทั้งเส้นกันเลยทีเดียว
ร้านเครื่องหนัง
มีร้านดอกไม้
ร้านคอสเพลย์ก็มี เลเยอร์ทั้งหลายก็แวะเวียนกันมาได้นะ
ร้าน Watts 100 เยน
หลังจากเดินกันจนอิ่มใจเบากระเป๋า(?) ก็มายัง Oasis 21 ซึ่งเป็นแหล่งรวมพลของหมู่วัยรุ่นขาวญี่ปุ่น
ด่านล่าง Oasis21 ก็จะมีพื้นที่สำหรับจัดงาน อย่างตอนที่กระรอกนุ๊ยไปนี่ก็เป็นลานสเก็ตน้ำแข็งล่ะ
ทิวทัศน์ด้านบน Oasis21 สามารถเห็นนาโกย่าในมุมกว้างได้
และสามารถเห็นหอคอยทีวีนาโกย่าที่อยู่ถัดไปด้วย
ถัดไปจะเป็นสวนฮิซายะโอโดริ และ หอคอยทีวีนาโกย่า ซึ่งเป็นหอคอยรับสัญญาณคลื่นวิทยุแห่งแรกในประเทศญี่ปุ่น (แต่ปัจจุบันไม่ได้ใช้งานแล้วนะจ๊ะ เนื่องจากระบบโทรทัศน์ของญี่ปุ่นเปลี่ยนเป็นแบบดิจิตอลแล้ว)
เมื่อเดินผ่านสวนและข้ามถนนไป เราก็จะเริ่มย่างเข้าสู่ย่านซาคาเอะเป็นที่เรียบร้อย ถ้าเขากล่าวว่าย่านดังของโตเกียวคือกินซ่า ย่านนี้ถือว่าเป็นกินซ่าของนาโกย่าเลยค่ะ เพราะห้างสรรพสินค้ามากมายได้ถูกรวบรวมมาไว้แล้วที่นี่
แถมยังมีดองกิโฮเต้ (Don Quijote) ดิสเคาน์สโตร์ขวัญใจชาวไทยด้วยให้แวะเวียนกันไปด้วย
หรือจะโอนิสึกะก็มีนะพี่น้อง (' v ',,
นอกจากนี้ใครที่เดินทางมาญี่ปุ่นแล้วอยากทานปู ในย่านนี้ก็มีร้านอาหาร Sapporo Kani-honke ซึ่งเป็นร้านชื่อดังในด้านการปรุงอาหารประเภทปูแห่งแรกของประเทศญี่ปุ่นที่ปัจจุบันมีสาขากว่า 14 สาขา ประเด็นคือป้ายร้านมีภาษาไทยด้วยนะเออ! ร้านนี้เจ้าของร้านกระซิบบอกกระรอกนุ๊ยว่าว่าแม้แต่ ณเดชน์ หรือพี่ติ๊ก-กัญญารัตน์ก็ยังเคยแวะเวียนมาทานกันที่สาขานี้ด้วย
ตัวอย่างอาหารประเภทปูๆมายั่วน้ำลายเพื่อนๆ อิ _ อิ,, แต่ปูเขาเด็ดจริงๆ สดมากก กระรอกนุ๊ยทนแล้วแทบจะพ่นสายรุ้งออกจากปาก/////
จากนั้นก็เดินทางกลับห้องพักกันพร้อมของที่ช็อปปิ้งมามากมาย เก็บแรงพร้อมลุยเที่ยววันสุดท้าย
หมู่บ้านเมจิ / Meiji mura (明治村)
หมู่บ้านเมจิหรือเมจิมูระ เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งของญี่ปุ่นที่จัดแสดงเอาสถาปัตยกรรมหรือสิ่งก่อสร้างที่โดดเด่นทั่วประเทศญี่ปุ่นที่อยู่ในยุคเมจิ(ค.ศ. 1868 - 1912) มารวบรวมเอาไว้ที่นี่ ซึ่งสถาปัตยกรรมต่างๆในยุคเมจินี่ จะได้รับอิทธิพลมาจากตะวันตกค่อนข้างมาก ที่น่าสนใจของที่นี่คือพวกอาคารหรือสิ่งก่อสร้างพวกนี้เป็นของจริง ไม่ได้นำแบบมาจำลองแต่อย่างใด เรียกได้ว่าขนกันมาทั้งหลัง ซึ่งเป็นเสน่ห์ของที่นี่ที่ทำให้แม้แต่คนญี่ปุ่นเองต่างก็เดินทางมาพักผ่อนหย่อนใจที่นี่อยู่ไม่น้อย การเดินทางก็ไม่ยากอย่างที่คิดค่ะ เดินทางมาลงที่สถานี Inuyama (เส้น Inuyama Line) และลงจากสถานีมาต่อรถบัสท้องถิ่นมายังหมู่บ้านเมจิ ใช้เวลาประมาณ 20 นาที(ค่าโดยสารประมาณ 420 เยน)
นี่ล่ะหน้าตาของหมู่บ้านเมจิ (ค่าเข้าชม 1,700 เยน ตั๋วสำหรับนั่งพาหนะภายในเมจิมูระ 1 วัน 1,000 เยน รวม 2,700 เยน)
ถ้าพร้อมแล้วก็เรียนเชิญเลยขึ้รถไปด้วยกันเลย! (> u <,,
สถาปัตยกรรมบางส่วนที่นำมาจัดแสดงภายในหมู่บ้านเมจิค่ะ และการเดินทางด้วยรถไฟหรือรถรางทำให้เราสามารถเห็นทิวทัศน์ได้ครีบครันมากขึ้น
นอกเหนือจากนี้ยังมีการลองแต่งตัวเป็นหนุ่มสาวยุคสมัยเมจิด้วย
หรือจะไปทักทายเหล่าแมวน้อยพวกนี้ก็ได้
เดินไปเพลินๆแว๊บเดียวก็ผ่านไปครึ่งวันแล้ว เลยต้องรีบนั่งรสบัสกลับมาที่สถานีเพราะว่าต้องเก็บตกอีกที่นึงนั่นก็คือ "ปราสาทอินุยามะ" ค่ะ
กลับมาที่สถานีปุ๊บ อีกฝั่งทางออกตรงข้ามก็จะเป็นตัวปราสาทอยู่ไกลๆ
จากสถานีอินุยามะเดินต่อมาประมาณ 15 นาที จะพบย่านการค้าต้อนรับพวกเราอยู่ค่ะ
ถ้าเจอป้ายนี้เข้าแล้วล่ะก็ แปลว่าเราเข้าสู่ย่านการค้าแล้วนะ!
นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารสไตล์โยโกโจ ที่ชื่อว่า Showa Yokocho (โชวะ โยโกโจ) ให้เพื่อนๆ ได้ลองเข้ามาทานกัน
ซึ่งถ้าเป็นช่วงเที่ยง ราคาอาหารจะย่อมเยาว์มากค่ะ ทุกคนสามารถแวะเติมพลังกันก่อนไปบุกลุยปราสาทได้
แวะเข้าไปทานอาหาร เข้าห้องน้ำ แถมยังเข้าไปถ่ายรูปเล่นเกมกันได้ตามสะดวกโยธินเลยจ้า
แอบมาเน้นๆ สำหรับคนที่สนใจอาหารท้องถิ่น กระรอกขอแนะนำ Dengaku(เดงงาคุ) ค่ะ ซึ่งนำเอาเต้าหู้ย่างกับมิโสะ และเป็นของขึ้นชื่อที่ชาวอินุยามะชอบทานกันมากๆ
ทานร้อนๆ อร่อยมากทีเดียวค่ะ ยิ่งหิวๆด้วยแล้วนะ (' q ',,
กินอิ่มแล้วเราก็เดินทางไปกันต่อ
จากนั้นให้เราเดินมาทางด้านซ้ายของศาลเจ้าซันโคอินาริค่ะ (สังเกตได้จากเสาโทริออสีแดงๆ)
และแล้วก็มาถึงแล้วกับปราสาทอินุยามะ หนึ่งในสมบัติแห่งชาติของญี่ปุ่น!
ปราสาทอินุยามะ / Inuyama Castle (犬山城)
ปราสาท อินุยามะเป็นหนึ่งปราสาทแบบฮะคุเต(หอสังเกตุการณ์)ที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น และได้รับการยกย่องจากคนญี่ปุ่นให้เป็น 1 ใน 5 สมบัติของชาติ ปราสาทอินุยามะถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1537 โดยโอดะ โยจิโร่ โนบุยาสุ ผู้มีศักดิ์เป็นลุงของโอดะ โนบุนางะ ปัจจุบันก็สืบทอดกันมา 13 ชั่วอายุคน และเจ้าของในยุคปัจจุบันก็ได้มอบปราสาทให้เป็นของหลวง ต่อมาในปี ค.ศ. 2004 ก็ได้รับการยกย่องให้เป็นสมบัติของชาติอีกด้วย สำหรับใครที่สนใจมาที่นี่ก็มีบริการอาสาสมัครแนะนำปราสาทให้ ซึ่งถ้าหากมาในวันสุดสัปดาห์ถ้าใครโชคดีก็อาจจะได้เจอเจ้าของตัวจริงที่แอบ แฝงตัวมาในคราบไกด์อาสาสมัครมาคอยเล่าเรื่องราวของปราสาทนี้ให้ฟังก็ได้นะ
พอมาถึ่งที่นี่เค้าจะให้กระเป๋าใส่รองเท้ามาหนึ่งใบให้เราถือเดินขึ้นไป จากนี้ไปบันไดค่อนข้างชัน ถ้าใครมีผู้ใหญ่ไปด้วยก็ช่วยระวังกันหน่อยนะคะ
วิวทิวทัศน์จากยอดปราสาท (มองลงไปคนเหลือติ๊ดเดียวเองอ๊ะ!)
ส่วนภาพเหล่านี้เป็นภาพทิวทัศน์จากยอดปราสาทที่หันเข้าหาแม่น้ำคิโสะ (Kiso River)
พอชมกันจนสบายใจแล้วก็แวะไปที่ศาลเจ้าซังโคอินาริที่เราเดินผ่านกันขึ้นมาก่อนหน้านี้ก่อนจะกลับกันซักนิด
ศาลเจ้าซังโคอินาริ / Sankou Inari Shrine (三光稲荷神社)
เป็นหนึ่ง ในสาขาของศาลเจ้าฟูชิมิอินาริที่ขึ้นชื่อในเกียวโต ว่ากันว่าที่นี่ศักดิ์สิทธิ์ด้านการค้า แต่ก็เป็นที่นิยมสำหรับคู่รักที่มักมาขอพรให้ได้ใช้ชีวิตคู่กัน คนท้องถิ่นแอบกระซิบบอกกระรอกนุ๊ยว่ามาขอพรเรื่องความรักน่ะที่นี่ขอพรได้ผล 2 เท่านะ ใครที่อยากมีคู่มีโอกาสแวะมาที่อินุยามะล่ะก็ อย่าลืมแวะมาขอพรที่ศาลเจ้านี้กันให้ได้นะคะ!
ที่นี่มีเครื่องรางสำหรับสัตว์เลี้ยงที่กระรอกนุ๊ยเคยนำเสนอไปด้วยนะ สนใจลองไปหาซื้อให้สัตว์เลี้ยงที่เพื่อนๆ รักกันก็ได้น๊า
ช่วงที่เดินทางกลับก็ได้แวะพิพิธภัณฑ์งานเทศกาลดงเด็งคัน /Festival Museum Dondenkan (どんでん館) ซึ่งที่นี่จะเก็บรักษาขบวนแห่ทั้งหมด 13 ขบวน รวมถึงตุ๊กตาไขลานที่สืบทอดมาจากสมัยเอโดะที่จะร่วมขบวนแห่ในงานเทศกาลอินุยามะที่จะจัดขึ้นในช่วงต้นเดือนเมษายนของทุกปี สำหรับในปี 2016 นี้จะจัดขึ้นวันที่ 2 - 3 เมษายนซึ่งงานจะเริ่มตั้งแต่ 8.00 - 22.00 น. ค่ะ (แนะนำให้มาช่วง 18.00 น. เป็นต้นไปซึ่งจะเป็นช่วงไฮไลต์ของงานเทศกาลนะคะ)
นี่เป็นภาพแค่บางส่วนเท่านั้นนะ ใครที่สนใจก็แวะมาชมกันดูได้ ค่าเข้าชมท่านละ 100 เยนเท่านั้นค่ะ
และแล้วสุดท้ายเราก็ต้องจากลากับอินุยามะซะแล้ว (. .
กระรอกนุ๊ยเดินทางกลับไปสถานี Inuyama ก่อนจะนั่งรถไฟของ Meitetsu ไปยัง Nagoya ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเดินทาง แล้วใช้บัตร SHORYUDO Highway Bus Ticket ที่เหลืออยู่นั่งยังสนามบินเพื่อฝากกระเป๋า แต่เวลายังเหลืออยู่ก็เลยแอบเดินทางไปช็อปปิ้งต่อที่ห้าง Aeon สาขา Takanome ค่ะ ซึ่งสามารถนั่งรถบัสฟรี จากชานชาลารถบัสหมายเลข 9 ของสนามบินไปยังห้าง Aeon ได้เลย (ให้บริการทุกๆ 15 นาที ตั้งแต่เวลา 10.20 - 20.00 น. ค่ะ >> ดูตารางรถบัสได้ที่นี่เลยค่ะ)
ห้าง Aeon ที่นี่มีทั้งหมด 2 ชั้นค่ะ เดินช็อปทิ้งท้ายกันให้เมื่อยกันไปข้าง แบบว่าค่อยไปนั่งพักบนเครื่อง (ฮา)
ที่นี่ก็สามารถ Tax Refund ได้เช่นกันจ้า (แต่ขอแนะนำว่าของ Meitetsu ลดเยอะกว่า แถมยอด Tax Refund น้อยกว่าด้วยล่ะ)
สำหรับใครที่ช็อปปิ้งกันจนอิ่มหนำแล้วก็นั่งรถบัสจากหน้าห้างกลับไปสนามบินกันได้เลย ส่วนใหญ่ที่ช็อปเพลินจนกลับไม่ทันก็ไม่ต้องห่วงค่ะ เพราะข้างๆ ห้างนั้นก็มีสถานีรถไฟ Rinku-Tokoname ที่สามารถนั่งไปยังสถานี Centrair Japan Intl Airport ได้เพียงแค่ 3 นาทีเท่านั้นเอง (ระยะเวลาเฉลี่ยขบวนละ 20 นาทีค่ะ ยังไงก็อย่าลืมเผื่อเวลาแถวเช็คอินยาวกันด้วยน๊า)
เป็นยังไงกันบ้างคะกับสถานที่ท่องเที่ยวในแถบโชริวโด เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายๆ คนอาจจะไม่ค่อยกล้ามาเที่ยวกันซักเท่าไหร่ เพราะกลัวว่าที่แถบนี้อาจจะไม่ครบครันเหมือนอย่างโอซาก้า หรือโตเกียว ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่เลยน๊าขอบอกว่าครบครันและไม่แออัดเท่าสองเมืองที่กระรอกนุ๊ยว่ามา แถมยังได้สัมผัสวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ของคนญี่ปุ่นได้อย่างใกล้ชิด ใครที่คลั่งไคล้ญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมก็ขอให้ตั้งจุดหมายปลายทางมาที่แถบนี้ได้เลย รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ ส่วนสำหรับตัวกระรอกนุ๊ยตั้งมั่นไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะกลับมาเที่ยวที่ย่านโชริวโดอีกแน่นอน ^ 0 ^,, ทั้งนี้เพื่อนๆจะลองนำไปประยุกต์กับการเดินทางในแบบฉบับของเพื่อนๆ เองก็ไม่ว่ากันค่ะ (จะไปโอซาก้าแล้วมาที่โชริวโด หรือจะมาโชริวโดแล้วไปโตเกียวต่อก็สะดวกโยธินไม่แพ้กัน) ส่วนใครที่ไปมาแล้วประทับใจเหมือนกันก็ส่งรูปมาแบ่งปันความฟินกันประรอกน้อยและเพื่อนๆชาว JGB Member กันได้ค่ะ
สำหรับคอลัมน์นี้ก็ขอจบเพียงเท่านี้ ไว้พบกันใหม่กับกระรอกนุ๊ยในคอลัมน์หน้าน๊า บ๊าย บาย ー( ´ ▽ ` )ノ
By : กระรอกนุ๊ย 。(*^▽^*)ゞ