สวัสดีครับ โอฮาโยโกไซมัส หลังจากที่เมื่อวานเราไปตะลุยในจังหวัดคาโกชิมะกันมาแล้วหนึ่งวัน แต่สิ่งที่น่าสนใจนั้นยังมีอยู่อีกมาก ฉะนั้นวันนี้เราก็จะมาเที่ยวคาโกชิมะกันต่อเลยครับ ตื่นมาทำภารกิจส่วนตัวเรียบร้อยก็ลุยกันต่อเลย โดยที่อาหารเช้าของทางโรงแรมจะเปิดให้บริการตั้งแต่ 06:30 เป็นต้นไปครับ ที่ชั้น 7 ใกล้กับล็อบบี้โดยนำบัตรอาหารไปแสดงต่อพี่พนักงานทางเข้าได้เลยครับ
อาหารนั้นก็มีมากมาย เยอะจนไม่รู้จะทานอะไรก่อนดี ทั้งอาหารหนักและอาหารเบาๆ อยากทานอะไรจัดได้เต็มที่เลยครับ
หลังจากอิ่มท้องกันแล้วก็ไปเช็คเอาท์กันเลยครับ แค่คืนการ์ดเท่านั้นเอง ไม่ยุ่งยากครับ เสร็จเรียบร้อยแล้ว สถานที่ๆ เราจะไปกันคืออีกเมืองหนึ่งครับ ชื่อ เมืองอิบุซุกิ (指宿) ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 20 กิโลเมตร โดยเราจะเดินทางโดยรถไฟสายพิเศษชื่อว่า อิบุซุกิโนะทะมะเทบะโกะ (指宿たまて箱) อันนี้จำเป็นต้องทำการจองตั๋วล่วงหน้าถึงจะสามารถขึ้นได้ ไม่มีขายหน้าสถานีนะครับ เพราะว่าในหนึ่งวันจะวิ่งไปกลับระหว่างเมืองนี้ 3 รอบ หรือ 6 เที่ยวเท่านั้นเอง
มาดูในขบวนรถกัน ภายในถูกตกแต่งให้มีสภาพแปลกตาต่างกับรถไฟทั่วไป กับที่นั่งหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นหันออกนอกกระจกเป็นแบบบาร์ หรือที่นั่งคู่ หรือจะเป็นแบบโซฟาก็มีครับ
วันนี้ผมเลือกที่นั่งบาร์มองออกนอกกระจกจะได้เห็นวิวข้างทางด้วย นั่งไปสักพักจะมีพี่พนักงานบริการถ่ายรูปให้ครับพร้อมกับป้ายรูปรถไฟและวันที่เดินทางครับ
ข้างทางก็จะเห็นวิวสวยๆงามๆ ทั้งทะเล ป่า ถ่ายรูปเก็บความประทับใจกันได้เยอะเลยล่ะครับ พี่พนักงานยังเดินแจกโปสการ์ดสัญลักษณ์ของรถไฟให้ด้วย สวยมากๆ เลย เก็บไว้เป็นความทรงจำว่าครั้งหนึ่งเราเคยมาขึ้นรถไฟสายพิเศษนี้แล้ว
และแล้วเราก็เดินทางมาถึงแล้วล่ะครับ ที่สถานีอิบุซุกิ (指宿駅) พอลงจากรถไฟเสร็จเรียบร้อย ก่อนอื่นก็ต้องทำการซื้อบัตรบัส 1 วันใช้ได้ไม่จำกัดหรือที่เค้าเรียกกันว่า นตตาริโอริตาริ มายแพลน อิจินิจิโจวฉะเค็น(のったりおりたりマイプラン一日乗車券) ครับ โดยในหนึ่งวันท่านสามารถขึ้นลงรถบัสภายในตัวเมืองกี่รอบก็ได้ ราคาอยู่ที่ 1,100 เยนจ้า
ซื้อเสร็จแล้วก็เดินทางไปต่อกันเลยครับ ก่อที่เราจะไปตะลุยนั้นเรามาหาของอร่อยทานกันก่อนดีกว่า อีกหนึ่งของอร่อยของเมืองคาโกชิมะนั้นก็คือ เนื้อหมูคุโรบุตะ นั่นเองครับ เพราะว่าเนื้อหมูคุโรบุตะของที่ดีคุณภาพพรีเมียมมากๆ เลย ไม่ว่าจะนำไปปรุงเป็นอะไรก็อร่อยจ้า แหม่ เรียกว่าเป็นดินแดนของทั้งคนทานเนื้อแล้วคนทานหมูกันเลยทีเดียวเชียว
โดยร้านที่เราจะไปกินนั้นชื่อร้าน คุโรบุตะโตะโคโดเรียวริ อาโอบะ (黒豚と郷土料理 青葉) ครับ โดยเมนูขึ้นชื่อของทางร้านคือเมนู องทามารานด้ง หรือข้าวหน้าไข่ออนเซนนั่นเองครับ
สำหรับเมนูนี้ถือเป็นเมนูยอดฮิตประจำร้าน ประกอบด้วยหมูสามชั้นเนื้อนุ่ม ผัดซอสจนหอมกรุ่น ใส่ถั่วงอกและโรยด้วยไข่ออนเซน โดยไข่นี้ผ่านการใช้น้ำออนเซนในการต้มทำให้ได้ไข่ที่หวานและกลมกล่อมมากเลยครับ นอกจากนั้นก็ยังมีมะเขือเทศราชินีและถั่วลันเตาครับ รสชาติสุดยอดมาก บอกเลยว่าถ้ามาคาโกชิมะต้องไม่พลาด นุ่ม นัว เข้ากับลิ้นจริงๆ
เสริฟพร้อมกับมันเทศญี่ปุ่นสุดหวานหอมและเครื่องเคียงซึ่งขาดไม่ได้ในเมนูอาหารญี่ปุ่น รวมถึงซุปมิโสะครับ
ท้องอิ่มแล้วออกศึกได้ เย้ ต่อเราจะไปผ่อนคลายเนื้อตัวกันแบบสไตล์ญี่ปุ่น นั่นก็คือออนเซนทรายครับ หลายคนอาจจะจินตนาการถึงการเอาตัวลงไปฝังในทรายร้อน นั่นแหละ ใช่แล้วล่ะจ้า อยากเห็นใช่ไหมล่ะ เดี๋ยวพาไปชม
สำหรับออนเซนที่นี้มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 100 ปีตั้งแต่สมัยเอโดะ ซึ่งท่านได้ค้นพบทรายแห่งนี้ว่ามีความร้อนสามารถลงไปนอนแช่ได้ทำให้เกิดผลดีต่อสุขภาพและผิวของเราครับ โดยออนเซนแห่งนี้มีชื่อว่า สุนะมุชิ ไคคัน ซาราคุ (砂むし会館 砂楽) ท่านสามารถใช้บริการนตตารี่โอริตารี่บัสได้โดยโชว์ตั๋วที่เราซื้อมาเมื่อสักครู่แกพี่คนขับได้เลยครับ
รอสักครู่บัสก็จะมาก็ขึ้นได้เลยครับ และลง ป้ายสึนะมุชิไคคัน (砂むし会館) ครับ
ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีก็เดินทางมาถึงแล้วล่ะครับ
และเราก็เดินทางมาถึงกันแล้วล่ะครับที่ออนเซนทรายหรือ สึนะมุชิไคคัน ซะราคุ ออนเซนครับ หลังจากลงบัสแล้วให้ท่านเดินขึ้นไปชั้นสองของอาคารที่เคาน์เตอร์เพื่อชำระค่าบริการได้เลยครับ
โดยจะมีค่าบริการท่านละ 1,080 เยน สำหรับเด็กจะมีค่าบริการอยู่ที่ 590 เยนครับ รวมทุกอย่างแล้ว หลังจากนั้นเราจะได้รับชุดคลุมอาบน้ำมาสวม และเราก็จะทำการแก้ผ้าครับ ฮ่าๆ เสร็จแล้วสวมชุดอาบน้ำที่พี่พนักงานให้มาเลย
ถือผ้าเช็ดตัวติดตัวไว้ติดตัวตลอดนะครับ เพราะเราจะต้องใช้รองหัวของเรา
หลังจากสวมชุดคลุมเสร็จเรียบร้อย ก็เดินไปตามทางเพื่อออกไปด้านนอก รอแช่ทรายกันเลยครับ
มาถึงก็เอนตัวนอนให้พร้อม พี่พนักงานจะทำถมทรายมาใส่ตัวเราทีละนิดๆ จนเต็มตัวขยับไม่ได้ ซึ่งจะอุ่นมากทั้งตัวเลยละครับ ยิ่งหน้าหนาวอย่างนี้ฟินสุดๆ เลยละครับ เวลาที่ดีที่สุดโดยประมาณก็คือ 15 นาที แต่หากท่านต้องการนอนแช่ต่อก็ไม่มีปัญหาครับ แต่ต้องรู้ลิมิตตัวเองด้วยนะครับ ถ้าทนไม่ไหวก็ออกมาเลย ไม่ต้องฝืนนะครับ เพราะอาจจะเกิดหน้ามืดหรือเป็นลมได้
นอนหลับกันไปเลยครับ ฟินนนนน สบายสุดๆ ไปเลย
หลังจากนั้นมาถึงขั้นตอนที่คนไทยอย่างเราๆ ไม่ค่อยจะชินกันสักเท่าไหร่ เพราะเราต้องทำการล้างตัว หรือพูดง่ายๆ คืออาบน้ำแบบญี่ปุ่นนั่นแหละครับ (แก้ผ้าเดินโทงๆ เลย) ฟอกสบู่ สระผมให้เรียบร้อย หรืออาจจะลงไปแช่น้ำร้อนต่อก็ได้ เสร็จแล้วก็แต่งตัวเลย ไม่ต้องอายนะครับ ไม่มีใครมามองหรอก อย่าเผลอไปจ้องใครล่ะครับ เดี๋ยวจะโดนมองกลับ ฮ่าๆ
สบายตัวสบายกายกันแล้วก็เดินทางต่อกันเลย สถานที่ต่อไปก็คือ อ่าวอิเคดะครับ เป็นอ่าวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น กับบรรยากาศเบื้องหลังเป็นภูเขาซุระชิมะ พร้อมกับดอกไม้สวยงามนานาพรรค์ ท่านสามารถนั่งรถบัสจากหน้าออนเซนเมื่อสักครู่ไปได้เลยครับ โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครับ
ระหว่างทาง บรรยากาศดีมากเลยครับ หลับไม่ลงเลย
มาถึงแล้วครับ ทะเลสาบอิเคดะ (池田湖) ทะเลสาบแห่งนี้มีความเชื่อว่าเคยมีช้างคอยาวดึกดำบรรพ์อาศัยอยู่ครับ ดังนั้นจะสังเกตเห็นรูปปั้นช้างได้หลายๆ จุดรอบๆ เดินเก็บภาพถ่ายรูปริมทะเลสาบกันได้ตามสบายเลยครับ
ไฮไลต์อีกอย่างคือ ดอกนะโนฮานะ(菜の花)ครับ โดยเป็นดอกไม้พื้นเมือง และจะมีให้เห็นโดยทั่วไป สวยงามมากเหมาะแก่การถ่ายรูปมากๆ เลยล่ะครับ
ไม่ต้องไปถึงโตเกียวก็ได้เห็นภูเขาไฟฟูจิกันที่นี่แล้วล่ะครับ สวยงามมากแต่อาจจะเล็กนิดนึง อิอิ กินลมชมวิวเก็บบรรยากาศกันเรียบร้อยแล้ว ก็ไปหาอะไรติดไม้ติดมือไปฝากคนทางบ้านกันหน่อยดีกว่า ละแวกนี้จะมีร้านขายของฝากอยู่อีกฝั่งของถนนครับ เป็นอาคารขนาดใหญ่สังเกตเห็นได้ง่ายครับ
เดินเข้ามาก็จะพบกับของฝากมากมายหลายชนิด โดยของขึ้นชื่อของจะเป็น มันเทศซึ่งจะนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ อย่างเช่นพวกขนมหวาน เลือกซื้อ ลองชิมกันได้ตามสบาย อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ขึ้นชื่อคือการแปรรูปจากดอกนาโนฮะนะสีเหลืองเมื่อสักครู่มาทำเป็นน้ำสลัดครับ ผมลองชิมดูแล้ว เข้ากับผักได้เกือบทุกชนิดเลยล่ะครับ
ป้าๆ คนขายก็เป็นกันเองมากๆ เลยล่ะครับ
หลังจากเลือกซื้อของเสร็จแล้วคงถึงเวลาต้องยอมรับความจริงคือต้องเดินทางกลับบ้านกันแล้วล่ะครับ แง 555 ท่านสามารถนั่งบัสกลับไปถึงสถานีรถไฟอิบุซุกิได้โดยตรงเลยครับ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงหน่อยๆ ครับ
พอเดินทางมาถึงสถานีระหว่างรอรถไฟกลับเข้าตัวเมือง ท่านสามารถสังเกตเห็นออนเซนเท้าที่มีให้บริการฟรีที่บริเวณด้านข้างของสถานีครับไปลองแช่กันเลย
ถึงเวลารถไฟมาก็ขึ้นและมุ่งหน้ากลับไปที่สถานีคาโกชิมะชูโอได้เลยครับ (鹿児島中央駅) แล้วก็ไปต่อชินคันเซนกลับสถานีฮากาตะเลยครับ (博多駅
เป็นอย่างไรบ้างครับ กับจังหวัดคาโกชิมะ เรียกว่าน่าสนใจ และเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่เลยทีเดียว ถ้ามีโอกาสก็อยากให้ลองไปเที่ยวกันนะครับ ย้อนอ่านตอนแรกได้ที่ http://www.jgbthai.com/kagoshima-1/
อาหารนั้นก็มีมากมาย เยอะจนไม่รู้จะทานอะไรก่อนดี ทั้งอาหารหนักและอาหารเบาๆ อยากทานอะไรจัดได้เต็มที่เลยครับ
หลังจากอิ่มท้องกันแล้วก็ไปเช็คเอาท์กันเลยครับ แค่คืนการ์ดเท่านั้นเอง ไม่ยุ่งยากครับ เสร็จเรียบร้อยแล้ว สถานที่ๆ เราจะไปกันคืออีกเมืองหนึ่งครับ ชื่อ เมืองอิบุซุกิ (指宿) ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 20 กิโลเมตร โดยเราจะเดินทางโดยรถไฟสายพิเศษชื่อว่า อิบุซุกิโนะทะมะเทบะโกะ (指宿たまて箱) อันนี้จำเป็นต้องทำการจองตั๋วล่วงหน้าถึงจะสามารถขึ้นได้ ไม่มีขายหน้าสถานีนะครับ เพราะว่าในหนึ่งวันจะวิ่งไปกลับระหว่างเมืองนี้ 3 รอบ หรือ 6 เที่ยวเท่านั้นเอง
มาดูในขบวนรถกัน ภายในถูกตกแต่งให้มีสภาพแปลกตาต่างกับรถไฟทั่วไป กับที่นั่งหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นหันออกนอกกระจกเป็นแบบบาร์ หรือที่นั่งคู่ หรือจะเป็นแบบโซฟาก็มีครับ
วันนี้ผมเลือกที่นั่งบาร์มองออกนอกกระจกจะได้เห็นวิวข้างทางด้วย นั่งไปสักพักจะมีพี่พนักงานบริการถ่ายรูปให้ครับพร้อมกับป้ายรูปรถไฟและวันที่เดินทางครับ
ข้างทางก็จะเห็นวิวสวยๆงามๆ ทั้งทะเล ป่า ถ่ายรูปเก็บความประทับใจกันได้เยอะเลยล่ะครับ พี่พนักงานยังเดินแจกโปสการ์ดสัญลักษณ์ของรถไฟให้ด้วย สวยมากๆ เลย เก็บไว้เป็นความทรงจำว่าครั้งหนึ่งเราเคยมาขึ้นรถไฟสายพิเศษนี้แล้ว
และแล้วเราก็เดินทางมาถึงแล้วล่ะครับ ที่สถานีอิบุซุกิ (指宿駅) พอลงจากรถไฟเสร็จเรียบร้อย ก่อนอื่นก็ต้องทำการซื้อบัตรบัส 1 วันใช้ได้ไม่จำกัดหรือที่เค้าเรียกกันว่า นตตาริโอริตาริ มายแพลน อิจินิจิโจวฉะเค็น(のったりおりたりマイプラン一日乗車券) ครับ โดยในหนึ่งวันท่านสามารถขึ้นลงรถบัสภายในตัวเมืองกี่รอบก็ได้ ราคาอยู่ที่ 1,100 เยนจ้า
ซื้อเสร็จแล้วก็เดินทางไปต่อกันเลยครับ ก่อที่เราจะไปตะลุยนั้นเรามาหาของอร่อยทานกันก่อนดีกว่า อีกหนึ่งของอร่อยของเมืองคาโกชิมะนั้นก็คือ เนื้อหมูคุโรบุตะ นั่นเองครับ เพราะว่าเนื้อหมูคุโรบุตะของที่ดีคุณภาพพรีเมียมมากๆ เลย ไม่ว่าจะนำไปปรุงเป็นอะไรก็อร่อยจ้า แหม่ เรียกว่าเป็นดินแดนของทั้งคนทานเนื้อแล้วคนทานหมูกันเลยทีเดียวเชียว
โดยร้านที่เราจะไปกินนั้นชื่อร้าน คุโรบุตะโตะโคโดเรียวริ อาโอบะ (黒豚と郷土料理 青葉) ครับ โดยเมนูขึ้นชื่อของทางร้านคือเมนู องทามารานด้ง หรือข้าวหน้าไข่ออนเซนนั่นเองครับ
สำหรับเมนูนี้ถือเป็นเมนูยอดฮิตประจำร้าน ประกอบด้วยหมูสามชั้นเนื้อนุ่ม ผัดซอสจนหอมกรุ่น ใส่ถั่วงอกและโรยด้วยไข่ออนเซน โดยไข่นี้ผ่านการใช้น้ำออนเซนในการต้มทำให้ได้ไข่ที่หวานและกลมกล่อมมากเลยครับ นอกจากนั้นก็ยังมีมะเขือเทศราชินีและถั่วลันเตาครับ รสชาติสุดยอดมาก บอกเลยว่าถ้ามาคาโกชิมะต้องไม่พลาด นุ่ม นัว เข้ากับลิ้นจริงๆ
เสริฟพร้อมกับมันเทศญี่ปุ่นสุดหวานหอมและเครื่องเคียงซึ่งขาดไม่ได้ในเมนูอาหารญี่ปุ่น รวมถึงซุปมิโสะครับ
ท้องอิ่มแล้วออกศึกได้ เย้ ต่อเราจะไปผ่อนคลายเนื้อตัวกันแบบสไตล์ญี่ปุ่น นั่นก็คือออนเซนทรายครับ หลายคนอาจจะจินตนาการถึงการเอาตัวลงไปฝังในทรายร้อน นั่นแหละ ใช่แล้วล่ะจ้า อยากเห็นใช่ไหมล่ะ เดี๋ยวพาไปชม
สำหรับออนเซนที่นี้มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 100 ปีตั้งแต่สมัยเอโดะ ซึ่งท่านได้ค้นพบทรายแห่งนี้ว่ามีความร้อนสามารถลงไปนอนแช่ได้ทำให้เกิดผลดีต่อสุขภาพและผิวของเราครับ โดยออนเซนแห่งนี้มีชื่อว่า สุนะมุชิ ไคคัน ซาราคุ (砂むし会館 砂楽) ท่านสามารถใช้บริการนตตารี่โอริตารี่บัสได้โดยโชว์ตั๋วที่เราซื้อมาเมื่อสักครู่แกพี่คนขับได้เลยครับ
รอสักครู่บัสก็จะมาก็ขึ้นได้เลยครับ และลง ป้ายสึนะมุชิไคคัน (砂むし会館) ครับ
ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีก็เดินทางมาถึงแล้วล่ะครับ
และเราก็เดินทางมาถึงกันแล้วล่ะครับที่ออนเซนทรายหรือ สึนะมุชิไคคัน ซะราคุ ออนเซนครับ หลังจากลงบัสแล้วให้ท่านเดินขึ้นไปชั้นสองของอาคารที่เคาน์เตอร์เพื่อชำระค่าบริการได้เลยครับ
โดยจะมีค่าบริการท่านละ 1,080 เยน สำหรับเด็กจะมีค่าบริการอยู่ที่ 590 เยนครับ รวมทุกอย่างแล้ว หลังจากนั้นเราจะได้รับชุดคลุมอาบน้ำมาสวม และเราก็จะทำการแก้ผ้าครับ ฮ่าๆ เสร็จแล้วสวมชุดอาบน้ำที่พี่พนักงานให้มาเลย
ถือผ้าเช็ดตัวติดตัวไว้ติดตัวตลอดนะครับ เพราะเราจะต้องใช้รองหัวของเรา
หลังจากสวมชุดคลุมเสร็จเรียบร้อย ก็เดินไปตามทางเพื่อออกไปด้านนอก รอแช่ทรายกันเลยครับ
มาถึงก็เอนตัวนอนให้พร้อม พี่พนักงานจะทำถมทรายมาใส่ตัวเราทีละนิดๆ จนเต็มตัวขยับไม่ได้ ซึ่งจะอุ่นมากทั้งตัวเลยละครับ ยิ่งหน้าหนาวอย่างนี้ฟินสุดๆ เลยละครับ เวลาที่ดีที่สุดโดยประมาณก็คือ 15 นาที แต่หากท่านต้องการนอนแช่ต่อก็ไม่มีปัญหาครับ แต่ต้องรู้ลิมิตตัวเองด้วยนะครับ ถ้าทนไม่ไหวก็ออกมาเลย ไม่ต้องฝืนนะครับ เพราะอาจจะเกิดหน้ามืดหรือเป็นลมได้
นอนหลับกันไปเลยครับ ฟินนนนน สบายสุดๆ ไปเลย
หลังจากนั้นมาถึงขั้นตอนที่คนไทยอย่างเราๆ ไม่ค่อยจะชินกันสักเท่าไหร่ เพราะเราต้องทำการล้างตัว หรือพูดง่ายๆ คืออาบน้ำแบบญี่ปุ่นนั่นแหละครับ (แก้ผ้าเดินโทงๆ เลย) ฟอกสบู่ สระผมให้เรียบร้อย หรืออาจจะลงไปแช่น้ำร้อนต่อก็ได้ เสร็จแล้วก็แต่งตัวเลย ไม่ต้องอายนะครับ ไม่มีใครมามองหรอก อย่าเผลอไปจ้องใครล่ะครับ เดี๋ยวจะโดนมองกลับ ฮ่าๆ
สบายตัวสบายกายกันแล้วก็เดินทางต่อกันเลย สถานที่ต่อไปก็คือ อ่าวอิเคดะครับ เป็นอ่าวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น กับบรรยากาศเบื้องหลังเป็นภูเขาซุระชิมะ พร้อมกับดอกไม้สวยงามนานาพรรค์ ท่านสามารถนั่งรถบัสจากหน้าออนเซนเมื่อสักครู่ไปได้เลยครับ โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครับ
ระหว่างทาง บรรยากาศดีมากเลยครับ หลับไม่ลงเลย
มาถึงแล้วครับ ทะเลสาบอิเคดะ (池田湖) ทะเลสาบแห่งนี้มีความเชื่อว่าเคยมีช้างคอยาวดึกดำบรรพ์อาศัยอยู่ครับ ดังนั้นจะสังเกตเห็นรูปปั้นช้างได้หลายๆ จุดรอบๆ เดินเก็บภาพถ่ายรูปริมทะเลสาบกันได้ตามสบายเลยครับ
ไฮไลต์อีกอย่างคือ ดอกนะโนฮานะ(菜の花)ครับ โดยเป็นดอกไม้พื้นเมือง และจะมีให้เห็นโดยทั่วไป สวยงามมากเหมาะแก่การถ่ายรูปมากๆ เลยล่ะครับ
ไม่ต้องไปถึงโตเกียวก็ได้เห็นภูเขาไฟฟูจิกันที่นี่แล้วล่ะครับ สวยงามมากแต่อาจจะเล็กนิดนึง อิอิ กินลมชมวิวเก็บบรรยากาศกันเรียบร้อยแล้ว ก็ไปหาอะไรติดไม้ติดมือไปฝากคนทางบ้านกันหน่อยดีกว่า ละแวกนี้จะมีร้านขายของฝากอยู่อีกฝั่งของถนนครับ เป็นอาคารขนาดใหญ่สังเกตเห็นได้ง่ายครับ
เดินเข้ามาก็จะพบกับของฝากมากมายหลายชนิด โดยของขึ้นชื่อของจะเป็น มันเทศซึ่งจะนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ อย่างเช่นพวกขนมหวาน เลือกซื้อ ลองชิมกันได้ตามสบาย อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ขึ้นชื่อคือการแปรรูปจากดอกนาโนฮะนะสีเหลืองเมื่อสักครู่มาทำเป็นน้ำสลัดครับ ผมลองชิมดูแล้ว เข้ากับผักได้เกือบทุกชนิดเลยล่ะครับ
ป้าๆ คนขายก็เป็นกันเองมากๆ เลยล่ะครับ
หลังจากเลือกซื้อของเสร็จแล้วคงถึงเวลาต้องยอมรับความจริงคือต้องเดินทางกลับบ้านกันแล้วล่ะครับ แง 555 ท่านสามารถนั่งบัสกลับไปถึงสถานีรถไฟอิบุซุกิได้โดยตรงเลยครับ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงหน่อยๆ ครับ
พอเดินทางมาถึงสถานีระหว่างรอรถไฟกลับเข้าตัวเมือง ท่านสามารถสังเกตเห็นออนเซนเท้าที่มีให้บริการฟรีที่บริเวณด้านข้างของสถานีครับไปลองแช่กันเลย
ถึงเวลารถไฟมาก็ขึ้นและมุ่งหน้ากลับไปที่สถานีคาโกชิมะชูโอได้เลยครับ (鹿児島中央駅) แล้วก็ไปต่อชินคันเซนกลับสถานีฮากาตะเลยครับ (博多駅
เป็นอย่างไรบ้างครับ กับจังหวัดคาโกชิมะ เรียกว่าน่าสนใจ และเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่เลยทีเดียว ถ้ามีโอกาสก็อยากให้ลองไปเที่ยวกันนะครับ ย้อนอ่านตอนแรกได้ที่ http://www.jgbthai.com/kagoshima-1/