*โปรดทราบ* วัตถุประสงค์ของโพสนี้เป็นไปเพื่อบอกเล่าถึงประสบการณ์การรับประทานเนื้อปลาวาฬในร้านอาหารที่เชี่ยวชาญการปรุงเนื้อปลาวาฬโดยเฉพาะเท่านั้น มิได้มีเจตนาส่งเสริมการล่าปลาวาฬในเชิงการค้าแต่อย่างใด

ประวัติศาสตร์การทานเนื้อปลาวาฬของญี่ปุ่นมีมานานเกิน 1,000 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ญี่ปุ่นขาดแคลนอาหารอย่าหนัก เนื้อปลาวาฬได้ช่วยให้ญี่ปุ่นพ้นวิกฤตตรงนั้นมาได้ ปัจจุบันคนญี่ปุ่นไม่ค่อยรับประทานเนื้อปลาวาฬกันมากนัก จึงได้กลายมาเป็นอาหารหรูหราขึ้นมาแทน

ร้าน Doozono หนึ่งในร้านที่เชี่ยวชาญในการปรุงเนื้อปลาวาฬเพียงไม่กี่แห่งในญี่ปุ่น เพียงแค่เดินเข้าไปในร้านก็พร้อมที่จะทำให้นักอนุรักษ์ช็อคตายได้ด้วยเขา(ฟัน)นาร์วาฬความยาว 192 ซม.ที่ตั้งโชว์ไว้ในร้าน

พิกัด : ร้านอยู่ที่โอซาก้า(osaka) ที่ในตึก Shinchi VIP Bldg ใกล้สถานี Kitashinchi เดินเข้าไปได้เลยไม่ต้องจอง เปิด 17.30 - 00.00 วันธรรมดา 17.30 - 23.00 วันเสาร์ อาทิตย์

เมนูทางร้านจะขายเป็นคอร์สเท่านั้น

• คอร์ส A ราคา 6,300 เยน ประกอบไปด้วยซาซิมิส่วนต่างๆของปลาวาฬ โอเด้งปลาวาฬ และชาบูส่วนต่างๆของปลาวาฬ


• คอร์ส B ราคา 5,300 เยน เหมือนคอร์ส A แต่เปลี่ยนจากซาซิมิปลาวาฬเป็นปลาธรรมดาแทน


• ฟูลคอร์ส ราคา 8,500 เยน คือ คอร์สที่ผมจะรีวิวในครั้งนี้

1. Komuchi Kimbu ไข่ปลาเฮอริ่งกับสาหร่ายคอมบุ รสเปรี้ยวเคี้ยวกรุบๆเรียกน้ำย่อย

2. ซาซิมิจานแรก หาง เบค่อน และกระดูกอ่อน เบค่อนอร่อยมาก 

3. ซาซิมิจานที่สอง เนื้อแดง ลิ้น คาง และหลัง กินกับเจลลี่ลูกสำรองและขิง ลิ้นกับคางอร่อย

4. โอเด้ง ใช้ส่วนลิ้นกับหลัง รสชาติเหมือนกระเพาะปลาสดน้ำแดง เป็นจานที่ผมชอบที่สุดในคอส

5. เนื้อแดงตุ๋นโชวยุกับน้ำตาล เหมือนกินทูน่ากระป๋อง ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่

6. สเต็กเนื้อแดง จิ้มกับพอนสึ เนื้อแดงพอเอามาทำสเต็กแล้ว อร่อยกว่าซาซิมิ



7. นาเบะ ใช้ส่วนเนื้อแดง คาง หนัง ผักมิซูนะ และเต้าหู้ เนื้อปลาวาฬเอามาทำเป็นนาเบะก็อร่อยกว่าซาซิมิเช่นกัน

8. ปิดท้ายด้วยข้าวต้มไข่ ปรุงโดยใช้น้ำที่เหลือจากนาเบะ กินกับผักดอง

เนื่องจากได้นั่งตรงเคาน์เตอร์จึงได้คุยกับเชฟ ถึงแม้เชฟจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ และผมก็พูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ แต่เชฟอัธยาศัยดีมากๆ มีขอเฟซบุ๊กผมไปด้วย ทุกเมนูจะไม่เสิร์ฟหน้าเคาน์เตอร์โดยตรง แต่จะให้พนักงานเอาออกมาเสิร์ฟ ส่วนนาเบะพนักงานจะเป็นคนปรุงให้