เป็นอีกหนึ่งเมืองที่นักท่องเที่ยวแวะเวียนกันไปอย่างไม่ขาดสายเลยล่ะ สำหรับเมืองเซนไดในจังหวัดมิยางิ ซึ่งช่วงหลังๆ คนไทยเองก็ไปเที่ยวกันเยอะมาก และหลายคนก็ไปกันจนเบื่อแล้ว ฮ่าๆ เวลาไปญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกๆ ส่วนใหญ่ก็ต้องมาที่โตเกียวกันใช่ไหมล่ะ บางทีเราไปพูดๆ ว่าเซ็นไดหรือจังหวัดมิยางินั้นหลายคนอาจจะส่ายหน้า คิดว่าต้องอยู่ไกลและไปยากแหงๆ แต่จริงๆ แล้ว การที่อยู่โตเกียวและไปเที่ยวเซนไดต่อนั้นต้องขอบอกเลยว่าง่ายและก็สะดวกสบายมากๆ ใครมีแพลนไปเที่ยวโตเกียวแล้วอยากแวะเลี้ยวเข้าสู่เซนได วันนี้เอง เราก็มีเรื่องราวของทริปโตเกียว - เซนได มาเล่าให้เพื่อนๆ ได้ฟังกัน ว่าเซนไดนั้นเขามีอะไรบ้าง
เกริ่นกันก่อนสักนิด เซนได เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคโทโฮคุ ตั้งอยู่ในจังหวัดมิยางิ เป็นเมืองที่มีทั้งเรื่องของธรรมชาติและวัฒนธรรมที่น่าสนใจ แถมอาหารก็ยังอร่อย เรียกได้ว่าครบเครื่องเรื่องกินเรื่องเที่ยวกันเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าเมื่อเกือบ 5 ปีที่แล้วได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขึ้น แต่ตอนนี้บอกได้เต็มปากเลยว่าเมืองเซนไดนั้นปลอดภัยและสามารถเที่ยวได้อย่างสบายใจแล้ว
วันที่ 1 เข้าสู่โตเกียว
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่การเดินทางไปเที่ยวไหนเป็นเรื่องง่ายมากๆ โดยที่ไม่ต้องขับรถเองอีกด้วย การเดินทางที่แสนสะดวก ทุกวันนี้ญีปุ่นเนื่องจากมีการยกเว้นวีซ่า สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มาเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น แน่นอนจุดมุ่งหมายหลักของการมาเที่ยวญี่ปุ่นคือการได้เที่ยวชมสถานที่สวยๆ นี่แหละ สำหรับผู้ที่มาเที่ยวญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก เชื่อว่าหนีไม่พ้นเมืองหลวงอย่างกรุงโตเกียวล่ะ ฮ่าๆ โตเกียวนั้นถือได้ว่าเป็นเมืองแห่งสีสัน แหล่งแฟชั่นสำหรับวัยรุ่น ไปจนถึงแหล่งช๊อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมยอดนิยมในหมู่คนไทยนั่นเอง (เรื่องช๊อปกับชาวไทยนี่ขอให้บอก ของชอบเลย) นอกจากการช๊อปปิ้งซื้อของนั้นแล้วก็ต้องมีการเที่ยวชมความสวยงามทางธรรมชาติด้วย ครั้งนี้เราจะพาคุณท่องเที่ยวโตเกียวและมุ่งตรงสู่เมืองแห่งธรรมชาติอันสวยงามและอาหารทะเลอร่อยๆ ให้ได้ทานกันสดๆ กันนั้นก็คือเมืองเซนไดนั่นเอง
การท่องเที่ยวเดินทางในครั้งนี้เราเริ่มต้นไปที่สถานที่ๆ เรียกได้ว่ามาโตเกียวแล้วไม่ไปไม่ได้กันดีกว่านั้นก็คือ วัดเซ็นโซจิหรือวัดอาซาคุสะนั่นเอง (วัดเขาชื่อเซ็นโซจินะ บางทีเราเรียกว่าอาซาคุสะอาจจะมีคนไม่เข้าใจ อิอิ) การเดินทางไปนั้นก็มีหลายเส้นทางให้เลือกเดินทางไปได้อย่างสะดวกสบายสุดๆ ค่ะ เนื่องจากในครั้งนี้เราเข้าพักที่ โรงแรม Hotel Gracery Shinjuku โรงแรมใหม่ที่เพิ่งเปิดทำการตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน 2015 โรงแรมนั้นตั้งอยู่บน Toho cinemas ซึ่งถือได้ว่าเป็นโรงแรมที่ใครมาเห็นหรือเดินผ่านล่ะก็ต้องร้องโอ้โหกับ ก๊อซซิลล่าเหนือตัวอาคารภาพยนต์ เห็นว่าทางโรงแรมมีห้องพักมากถึง 970 ห้อง ซึ่งที่นี่คือที่ๆ เราจะเริ่มเดินทางกันค่ะ หลังจากที่เราเดินทางถึงประเทศญี่ปุ่น และมุ่งตรงสู่ชินจูกุเพื่อไปเก็บของงที่โรงแรมแล้ว เราก็เดินทางสู่อาซากุสะกันเลย จากโรงแรมเดินตรงสู่สถานีรถไฟชินจูกุ เดินทางด้วยรถไฟสาย Chuuou Soubu Line เนื่องจากสถานีรถไฟชินจูกุนั้นเป็นเสมือนเขาวงกตย่อมๆ ใครมาครั้งแรกหรือไม่ชินต้องมีมึนๆ บ้างล่ะ โปรดเตรียมตัวให้พร้อมนะจ๊ะ สิ่งที่ต้องมองหาคือป้ายค่ะ มองป้ายดีๆ หาให้เจอว่า Chuuou Soubu Line นั้นชี้ไปทางไหน ก็เดินตามทางนั้นไปค่ะ หลังจากเราขึ้นรถไฟแล้วก็มุ่งตรงสู่สถานี Asakusabashi เพื่อไปต่อรถไฟสาย Asakusa เพื่อต่อไปยังสถานีอาซาคุสะค่ะ เมื่อถึงสถานีอาซาคุสะให้ออกมาทางออก A4 เพื่อไปยังวัดเซนโซจิกันค่ะ
เมื่อออกมาจากสถานีแล้วให้เดินตรงสู่ถนนใหญ่เพื่อข้ามฝั่งไปยังวัดกันค่ะ ซึ่งก็อยู่ฝั่งตรงข้ามเลยมองเห็นได้ง่ายมากๆ เมื่อข้ามมาถึงเรียบร้อยเราก็เจอกับประตูโคมแดงกันค่ะ ขึ้นชื่อว่าวัดโคมแดง มันไม่ได้มีโคมเดียวนะคะ เพราะมีประตูต่างๆ ตามทิศและนี่เป็นเพียงแค่ประตูด่านแรกจากข้างหน้าวัดค่ะ พอผ่านประตูเข้าไปจะเจอถนนตรงสู่วัดซึ่งจะมีร้านค้ามากมายตั้งเรียงรายกันเต็มไปหมดเลยค่ะ มีทั้งของขายของฝากแบบญี่ปุ่นหรือร้านที่ให้บรรยากาศเก่าๆของญี่ปุ่นเรียงรายกันเต็มไปหมด ที่ขาดไม่ได้เมื่อมาถึงที่นี่ก็คือการแวะชิมอาเกะมันจูหรือซาลาเปาทอดค่ะ ขอบอกอร่อยมากต้องลองมีหลากหลายรสให้เลือกสรรค์ หลังจากอิ่มอร่อยจากอาเกะมันจูแล้วก็ได้เวลาเดินต่อสู่วัดต่อกันเลย ก่อนเข้าตัววัดจริงๆ เราจะเจออีกหนึ่งประตู ประตูนี้มีขนาดใหญ่ที่สุดของทุกๆ ประตูทางเข้าสู่วัดเลยค่ะ วัดเซนโซจิเป็นวัดที่สร้างขึ้นมาในปี ค.ศ.628 เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระโพธิสัตว์คันนอน (เจ้าแม่กวนอิม) แต่วัดได้ถูกทำลายไปเสียส่วนใหญ่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่ค่ะ สิ่งที่ขาดไม่ได้เมื่อมาที่วัดนี้คือการจุดเครื่องหอมปักลงในกระถางธูปขนาดใหญ่ แล้วก็โบกควันเข้าที่หัวของเราค่ะ เชื่อกันว่าเพื่อสุขภาพที่แข็งแรง อีกทั้งภายในอุโบสถก็ยังมีให้กราบไหว้เพื่ออธิฐานอีกด้วย การไหว้ขอพรของญี่ปุ่นที่รู้ๆ กันคือการโยนเหรียญเข้าไปในช่องรับเหรียญจากนั้นจึงขอพรได้ค่ะ ว่ากันว่าให้หย่อนเหรียญที่มีเลข 5 ค่ะ อทิ 5 เยน 50 เยน และ 500 เยนค่ะ เพื่อที่ให้ได้กลับมาที่นี่อีกครั้งหนึ่งนั่นเอง
หลังจากเดินเที่ยวชมวันเซ็นโซจิอย่างเต็มอิ่มแล้ว ก็เดินออกมากหน้าวัดแล้วเลี้ยวซ้ายค่ะ เดินตรงไปเรื่อยๆ เราจะเห็นตึกที่ๆ มีก้อนเมฆสีทอง นั้นก็คือตึกอาซาฮีค่ะ ให้เราเดินไปทางทิศนั้น ซึ่งที่เรากำลังจะเดินต่อไปนั้นก็คือท่าเรือค่ะ เราจะไปล่องเรือบนแม่น้ำซุมิดะคาวะกัน โดยขึ้นเรือที่ Tokyo Cruise เนื่องจากมีหลายเส้นทางให้เลือกว่าจะไปลงที่ไหน หรือจะเป็นแบบวนกลับมาที่เดิมก็ได้ค่ะ เนื่องจากเราจะไปยังสวนฮามะริคิวต่อ เราจึงเลือกสาย Sumidagawa Line เส้นสีแดงๆ ที่เห็นในภาพเลยค่ะ ซึ่งราคาก็เพียง 740 เยนเท่านั้นเอง โดยปกติแล้วเรามักจะเดินทางเที่ยวกันด้วยรถไฟกัน แต่ก็ยังมีเรือให้เราได้นั่งชมกรุงโตเกียวกันง่ายๆได้ที่นี่เลยค่ะ บนเรือนั้นจะมีสองชั้น ชั้นสำหรับชมวิวจากชั้นสองหรือจะเป็นชั้นล่างที่เป็นโซนนั่งดื่มและทานขนมได้ สามารถสั่งมาทานได้เลยค่ะ ที่ขาดไม่ได้คือ ของที่ขายบนเรือ แน่นอนว่าต้องเป็นของฝากค่ะ โมเดลมินิน่ารักๆ ของเรือที่ให้บริการมีสามแบบให้เลือกซื้อค่ะ ขณะนั่งชมเมืองก็จะมีเสียงผู้แนะนำเป็นภาษาญี่ปุ่นว่าตรงนี้คือที่ไหน และสะพานที่เรากำลังผ่านหรือที่เห็นตรงหน้า เป็นสะพานอะไร ความเป็นมาอย่างไร เนื่องจากเป็นบรรยายภาษาญี่ปุ่น สำหรับชาวต่างชาติ ทางเรือก็มีบริการ ผู้บรรยายส่วนตัวพกพายกหูฟังเหมือนคุยโทรศัพท์ด้วยตลอดเวลา ค่าบริการตลอดทริปคือ 300 เยนค่ะ
และแล้วเราก็มาถึงสวนฮามะริคิวกัน สวนแห่งนี้เป็นสวนที่โชกุนสมัยเอโดะได้สร้างขึ้นเพื่อพักผ่อน พำนักและเป็นสถานที่ขึ้นเรือเพื่อเดินทางไปยังเมืองต่างๆ ในสวนนั้นเต็มไปด้วยไม้ดัดแบบญี่ปุ่น การปลูกต้นไม้แต่ละต้นรวมถึงเนินเดินการจัดสวน ให้ผู้ที่มาเที่ยวชมได้ชมกับศิลปะการจัดสวนแบบญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ชมซากุระที่สวยงามแห่งหนึ่งของโตเกียวอีกด้วย และก็ยังมีร้านชาแบบญี่ปุ่นแท้ๆ เสิร์ฟพร้อมขนมหวานแบบญี่ปุ่นแท้ๆ เข้ากันอย่างลงตัวอีกด้วย ในร้านนั้นจะเลือกนั่งข้างในหรือนอกร้านก็ได้ ค่ะ ปกติแล้วจะเลือกนั่งข้างนอกกันเพราะจะได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศอันแสนสงบแบบญี่ปุ่นไปพร้อมๆกัน หลังจากจิบชาเสร็จแล้วเราก็มุ่งสู่ร้านซูชิขึ้นชื่อ ที่เรียกได้ว่าถ้าไม่จองก็ต้องไปยืนต่อคิวรอทานกันเลยทีเดียวนะเออ
เพื่อไปร้านซูชิแห่งนี้เราจึงเดินจากสวนฮามะริคิวไปยังสถานี Shinbashi สาย Asakusa Line ไปยังสถานี Takaracho แล้วเดินไปยังร้าน Ishijima ซึ่งเป็นร้านซูชิที่ปลาทั้งหมดส่งจากตลาดปลาซึคิจิ ในวันนี้เราสั่งเป็นเซ็ตค่ะ เซ็ตนึงมีสิบเมนู คือซูชิ 10 ชิ้นนั้นเอง ซึ่งราคาคือ 4000 เยนต่อคน ถ้าเทียบกับความอร่อยแล้วถือว่าคุ้มสุดๆ ไปเลยค่ะ
หลังจากเราอิ่มหนำสำราญเรียบร้อยกับซูชิ เราก็เดินต่อไปยังกินซ่าค่ะ แหล่งช๊อปปิ้งสุดหรูของคนญี่ปุ่น ที่มีร้านแบรนด์เนมชื่อดังของโลกเรียงรายตลอดเส้นทาง หรือแม้กระทั้งขนมหวานแสนอร่อยมากมายอีกด้วย มาแล้วก็ต้องแวะซักร้านให้ได้เลยล่ะ ในครั้งนี้เราเลือกร้านผลไม้ที่มีคาเฟ่ของหวานที่ทำจากผลไม้ชั้นเลิศอีกด้วย นั้นก็คือร้าน Ginza Sembikiya ที่มีประวัติยาวนานร่วมร้อยกว่าปี นับว่าเป็นร้านที่เก่าแก่แห่งนึงเลย เนื่องจากมาแล้วเราก็ต้องสั่ง เลยสั่ง Masuku Melon Parfait มีราคาถึง 1,944 เยนเลยที่เดียว (ได้ซูชิร้านเมื่อกี้ประมาณ 5 ชิ้นได้) ส่วนเครื่องดื่มก็ไม่พ้นเจ้าเมนล่อนเช่นกัน น้ำเมล่อน Melon Juice ราคา 1,512 เยน ราคานี้ถือว่าแพงแต่เทียบกับความอร่อยแล้วไม่เสียดายเลยล่ะ ความหวานฉ่ำอร่อยของเมล่อนแท้ๆ ไม่ผสมน้ำตาลหรือความหวานจากส่วนผสมใดๆ ถือว่าหากมาญี่ปุ่นแล้วต้องมาชิมร้านนี้ให้ได้ซักครั้งเลยล่ะ นอกจากคาเฟ่แล้วก็ยังจำหน่ายผลไม้สดให้เลือกสรรค์กันอีกด้วย //มาย่านช๊อปปิ้งแท้ๆ แต่กลับถูกหลอกล่อด้วยของอร่อยที่ไม่อาจละสายตาได้จริงๆ ค่ะ
เนื่องจากเข้าสู่ฤดูหนาวเราต้องรีบซักนิดนึงเพราะพระอาทิตย์ที่ญี่ปุ่นตกไวมากๆ ค่ะ 4 โมงครึ่งพระอาทิตย์ก็เริ่มๆ ตกดินแล้ว เราจึงต้องรีบไปที่ Tokyo Metropolitan Government Building เพื่อชมทิวทัศน์ของเมือง ที่สวยงามพร้อมพระอาทิตย์ตกกันที่นี่ค่ะ โดยเดินทางจากสถานี Yurakuchou สาย Yamanote Line ต่อไปยังสาย Oedo Line ที่สถานีรถไฟ Yoyogi เพื่อไปลงที่สถานี Tochomae จากนั้นก็ไปยัง Tokyo Metropolitan Government Building ซึ่งตึกนี้ถือได้ว่าเป็นสำนักงานใหญ่ของการท่องเที่ยวกรุงโตเกียวอีกด้วย แถมขึ้นเพื่อไปดูวิวเมืองก็ฟรี ถ้าวันที่อากาศแจ่มใสก็มองเห็นภูเขาไฟฟูจิเลยล่ะ ชั้นสำหรับชมวิวนั้นอยู่ที่ชั้น 45 ของตึก เมื่อขึ้นไปถึงแล้ว ก็จะสามารถชมทิวทัศน์อันสวยงามได้โดยรอบค่ะ กลังจากชมเสร็จแล้วก็มีของสะสมมากมายให้เลือกซื้ออีกด้วย
จากนั้นเราก็กลับไปยังชินจูกุกันต่อเลย โดยขึ้นสาย Oedo Line ลงสถานี Shinjuku Nishi Guchi เพื่อไปทานมื้อค่ำที่ถนน Omoide Yokochou เป็นถนนที่เป็นที่รวมร้านกินดื่มแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นร้านเล็กๆ เรียงกันเป็นเหมือนห้องแถว คล้ายๆ เยาวราชบ้านเรา แต่เป็นร้านแบบกินดื่ม อาหารอร่อยมากๆ เมนูส่วนใหญ่เป็นปิ้งย่างเสียบไม้ สะดวกแก่การสังสรรค์กับเพื่อนๆ มากๆ ค่ะ แต่ชินจูกุในยามค่ำคืนจะไม่ค่อยเหมาะกับการที่ผู้หญิงมาเดินกันตามลำพังซักเท่าไหร่ เพราะมีสถานบันเทิงมากมายหลายรูปแบบ แนะนำให้พาเพื่อนมาด้วยนะคะ
จากนั้นเราก็กลับสู่โรงแรมก๊อตซิลล่ากันค่ะ เนื่องจากที่ญี่ปุ่นเชคอินได้หลังบ่ายสามเป็นต้นไป เราจึงรับกระเป๋าพร้อมกับเชคอินค่ะ จากนั้นก็ได้คีย์การ์ดห้องมา คีย์การ์ดของห้องนั้นก็เป็นลายฟิลม์ภาพยนต์ค่ะ สภาพของห้องนั้นเรียบๆ สะอาดเรียบร้อย มีอุปกรณ์ต่างๆ ให้อย่างครบครันค่ะ สิ่งที่ชอบมากที่สุดสำหรับห้องพักที่นี้ก็คือหน้าต่างห้องค่ะ เป็นแบบทางยาวเหนือเตียง เวลาพระอาทิตย์ขึ้นก็สามารถมองเห็นชินจูกุยามเช้าได้อย่างสวยงามมากๆเลยค่ะ
วันที่ 2 มุ่งหน้าสู่เมืองเซนได
วันนี้เราจะมุ่งหน้าสู่เซนไดกันค่ะ ก่อนอื่น โรงแรมนี้เชคเอ้าท์แบบใช้เครื่องเชคเอ้าท์ค่ะ คือให้เราสอดคีย์การ์ดห้องของเราเข้าไป หากไม่เสียค่าใดๆ เพิ่มเติมเครื่องก็จะปริ้นต์ใบเสร็จมาให้ค่ะ แต่ถ้าหากทีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสามารถจ่ายด้วยเงินสดหรือบัตรเครดิตได้อีกด้วย
เช้านี้เรานั่งรถไฟสาย Yamanote Line จากสถานีชินจูกุไปยังสถานีโตเกียวกันค่ะ เพื่อนที่เราจะขึ้นชินกันเซ้นไปยังเซ็นไดกันไปกลับด้วยชินกันเซ็นก็อยู่ที่ราคา 22,000 เยนค่ะ ซึ่งขบวนของเราเป็นแบบต้องจองที่นั่งเท่านั้น จะเลือกซื้อที่ตู้และจองเลยก็ได้ค่ะ ก่อนที่จะขึ้นชินกันเซ็นเราก็ไปซื้อสิ่งที่ขาดไม่ได้ยามขึ้นรถไฟค่ะ ได้แก่คือข้าวกล่องรถไฟนั้นเอง ซึ่งข้าวกล่องรถไฟที่สถานีโตเกียวนี้แทบจะเรียกได้ว่ารวมข้าวกล่องชื่อดังมากมายมาไว้ที่นี่เลยล่ะ เลือกยากมากๆ ครั้งนี้เลือกข้าวหน้าปลาไหลค่ะ จากนั้นก็ได้เวลาขึ้นรถไฟมุ่งสู่เซนได ด้วยชินกันเซ็นนี้ใช้เวลาจนถึงเซ็นไดเพียงแค่ชั่วโมงครึ่งเท่านั้นเอง ทานข้าวบนรถไฟอิ่มและพักซักเล็กน้อยก็พอดีเลยล่ะ เมื่อมาถึงเมืองเซนไดเมืองแห่งกิวตัน กิวตันคืออะไร คือลิ้นวัวย่างค่ะ ขอบอกอร่อยมากๆ กิว ที่แปลว่าในภาษาญี่ปุ่น ส่วนตัน มาจากคำว่า tongue ในภาษาอังกฤษ ที่แปลว่าลิ้นนั้นเอง มาสคอตของเมืองนี้ก็คือตัวที่เราเจอตามงานท่องเที่ยวญี่ปุ่นเป็นประจำคือมุสุบิมารุ นั้นเอง เป็นคาแรคเตอร์ที่ผสมผสานข้าวปั้นกับซามูไร ดาเตะ มาซามุเนะ ผู้ดังของเซนไดนั้นเอง
โรงแรมที่เราจะพักในเซนไดชื่อว่า Hotel Metropolitan Sendai ที่เรียกได้ว่าอยู่ติดกับสถานี เพียงเดินจากสถานีก็ถึงปุ๊บเลยล่ะ ถือได้ว่าสะดวกแก่การท่องเที่ยวเซนไดมากๆ เพียงออกมาหน้าโรงแรมก็จะถึงท่ารถบัส ให้เดินทางไปยังมุมต่างๆ ของเมืองเซนไดได้อย่างสะดวกมากๆ ครั้งนี้เราเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ ของเซนไดกันค่ะ ซึ่งทางเซนไดก็มีรถพิเศษที่เรียกว่า Loople Sendai เป็นรถบัสที่ออกแบบมาให้ความรู้สึกถึงความคลาสสิคได้เป็นอย่างดี ในราคาตลอดเส้นทางเพียง 620 เยนเท่านั้น สถานที่ท่องเที่ยวตามเส้นทางที่แรกที่เราจะไปคือ สุสาน Zuihoden เป็นสุสานที่ฝั่งร่างของดาเตะมาซามูเนะ อีกด้วยขณะที่ไปเป็นฤดูใบไม้ร่วงพอดีจึงประจวบเหมาะกับช่วงใบไม้เปลี่ยนสีทำให้เมื่อเดินก่อนถึงสุสานนั้น ก็พบกับต้นไม้เปลี่ยนสีสองสี คือสีเหลืองและสีแดงประสานกันอยู่ ซึ่งสวยงามมากๆ เลยค่ะ ในส่วนของสุสาน เป็นอาคารที่คล้ายกับวัดหรือศาลเจ้า ซึ่งได้ถามผู้ดูแล ก็ได้ความว่าภายในนี้แหละมีร่างของดาเตะมาซามูเนะฝั่งอยู่ค่ะ
หลังจากนั้นเมื่อชมบริเวณโดยรอบอย่างเต็มอิ่มแล้วก็เดินทางสู่ที่ๆ หากมาเซนไดแล้วไม่ไปไม่ได้คือปราสาทเซนไดนั่นเอง แน่นอนว่าเราก็ยังใช้บริการของ Loople Sendai กันต่อค่ะ ที่ปราสาทเซนได เนื่องจากตัวปราสาทในตอนนี้ได้ถูกทำลายลงไปแล้วนั้น มีแค่ส่วนที่เป็นกำแพงเท่านั้นที่ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่ และรูปปั้นของดาเตะมาซามูเนะที่กำลังทรงม้าที่ทุกคนต้องมาเพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเลยล่ะ และที่ขาดไม่ได้คือการได้ชมวิวของเมืองเซนไดจากที่ตั้งของปราสาทเซนไดอีกด้วย
ภายในปราสาทนั้นยังมีศาลเจ้าให้ได้เข้าไปขอพรกันอีกด้วยค่ะ และที่นี่ยังมีร้านขายขนมที่ทำจากวัตถุดิบของเมืองเซนไดให้ได้ลองชิมกัน และที่สำคัญยังมีร้านกิวตันที่ชื่อว่า Date no Gyutan Aobajou ซึ่งอร่อยมากๆ พอได้ชิมเข้าไปนั้นถึงกับหลงรักลิ้นวัวย่างหรือกิวตันแห่งเมืองเซนไดเลยล่ะ
เมื่อทานอิ่มแล้วอย่ารอช้าค่ะเราจะนั่งรถไฟต่อไปยัง Osaki Hachimangu Shrine เป็นศาลเจ้าที่ก่อตั้งโดยดาเตะมาซามุเนะ ที่มีการสร้างได้อย่างสวยงามจนได้เป็นหนึ่งในสมบัติอันล้ำค่าของญี่ปุ่น มาที่นี่แน่นอนอย่าลืมแวะชิมสาเกหวานนะคะ เป็นสาเกอุ่นๆ หวานๆ ให้ได้ลองชิมกันได้ที่นี่ค่ะ
จากนั้นก็นั่งรถบัสกลับเข้าเมืองเซนไดค่ะ ถัดจากป้ายของศาลเจ้าเพียงหนึ่งป้ายเท่านั้นเพื่อเดินชมถนนโจเซนจิ ที่เรียงรายไปด้วยต้นเคยากิสัมผัสกับบรรยาการของต้นไม้ที่ทำกำลังเปลี่ยนสีตลอดสายค่ะ แต่ปีนี้เค้าว่ากันว่าต้นไม้เปลี่ยนสีเร็วกว่าทุกปีถึงสองสัปดาห์ทำให้ตอนที่เรามาถึงก็ร่วงไปเยอะแล้ว
จากนั้นเดินต่อไปยังย่านการค้าแห่งเมืองเซนได “อิจิบันโจ” ที่นี่มีร้านค้ามากมายให้ได้เลือกซื้อของฝากและสินค้าประจำเมือง หรือร้านสินค้าแบรนด์ท้องถิ่นมากมาย เมื่อเดินไปเรื่อยๆ ก็จะพบร้านฮามายะ ร้านลูกชิ้นลิ้นวัวทอด ลูกละ 76 เยน ซึ่งเป็นเมนูยอดนิยมเลยล่ะ ส่วนตัวแอบรสชาติเหมือนแหนมบ้านเรานะคะ นอกจากนี้ยังมีร้านชาแบบญี่ปุ่น, ร้านขายตุ๊กตาโคเคชิซึ่งเป็นตุ๊กตาชื่อดังของเซนได และอีกมากมายเลยค่ะ
พิเศษไปยิ่งกว่านั้นคือ LINE ช็อปของเซนได ที่มีตัวคาแร๊กเตอร์ของ LINE มาแต่งตัวในชุดของดาเตะ มาซามูเนะ และพวกพ้องค่ะ เป็นอีกหนึ่งความน่ารักที่ต้องมาชมให้ได้เลยล่ะ แถมยังมีคุ๊กกี้ลายเฉพาะที่นี่ที่เดียวขายด้วย
พอเดินช๊อปปิ้งจนเหนื่อยแล้ว ก็ไปทานอาหารมื้อพิเศษกันต่อกับร้านที่คุณสามารถประมูลปลาสดๆ กันได้ในร้านในช่วงเวลาสองทุ่มของทุกวัน เหมือนได้ประมูลปลาอยู่ในตลาดปลาจริงๆ แต่ละเมนูก็อร่อยมากๆ เลยค่ะ ซาชิมิอร่อยสุด หรือแม้แต่เทมปุระ!! ลืมบอกไปค่ะร้านนี้ชื่อ Suda Sengyoten หากมาเซ็นไดแล้วลองมาทานที่นี่ให้ได้นะคะ
จากนั้นเราก็กลับโรงแรมเพื่อพักผ่อนแล้วเที่ยวเซนไดต่อในวันพรุ่งนี้ค่ะ ภายในห้องพักนั้นถือว่าครบครันและสะดวกสบายมากค่ะ แต่เนื่องจากเหนื่อยจากการท่องเที่ยวทั้งวันหลังจากอาบน้ำก็สลบอย่างสบายบนเตียงนอนของโรงแรมค่ะ
วันที่ 3
วันนี้ถือได้ว่าเป็นวันสุดท้ายของการท่องเที่ยวในทริปนี้ค่ะ และวันนี้เราต้องไปปีนบันไดพันขั้น (โดยประมาณนะ 555) กันอีกด้วย มาเติมพลังด้วยอาหารเช้าของโรงแรมกันเลยดีกว่า ปกติแล้วมื้อเช้าของโรงแรมทั่วไป จะมีให้เลือกเมนูแบบตะวันตกหรือแบบญี่ปุ่น เรานั้นมาญี่ปุ่นทั้งทีก็ต้องเลือกเมนูแบบญี่ปุ่นเนอะ ห้องอาหารนั้นอยู่ชั้น 2 ชื่อห้องอาหาร Ayase ค่ะ เมื่อเราเข้าไปเค้าจะให้เรานั่งในห้องอาหารส่วนตัว และอาหารนั้นเป็นเซ็ตแบบสวยงามมากเลยค่ะ และอร่อยอีกด้วย นานๆ จะได้ทานอาหารเช้าที่จัดอย่างสวยงามขนาดนี้
หลังจากเติมพลังเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางสู่ วัดบันไดพันขั้น “วัดยามะเดระ” เดินทางจากสถานีรถไฟเซนได สู่สถานียามะเดระ ด้วยรถไฟสาย Senzan Line เมื่อถึงที่สถานีก็เห็นวัดได้อย่างชัดเจนบนยอดเขา จากนั้นก็เดินสู่ตัววัด เมื่อเข้ามายังตัววัดแล้วเราก็เดินสู่ทางเข้าตัวภูเขาที่เราต้องเดินขึ้นบันไดกันค่ะ ค่าเข้าคนละ 300 เยน
เมื่อเดินขึ้นไปตามทางบันไดในแว่บแรก ฉันคงไม่ทีทางปีนได้แน่ๆ แต่ด้วยธรรมชาติอันส่วยงามและศิลปะของรูปปั้นตลอดทางก็ช่วยให้ลืมถึงความเหนื่อยไปได้เลยค่ะ เมื่อไปถึงข้างบนสุดก็จะมองเห็นภูเขาของอีกฝากและหมู่บ้านของผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ เป็นทิวทัศน์ที่สวยมากๆเลย จนลืมไปเลยว่าตัวเองกลัวความสูง
หลังจากเรากลับลงมาจากบนเขาเราก็มุ่งสู่เมืองมัตสึชิม่าค่ะ โดยนั่งกลับไปเปลี่ยนสายที่สถานีเซนได และขึ้นสาย Tohoku Main Line ต่อไปยังสถานีมัตสึชิม่า เมืองมัตสึชิม่าเป็นหนึ่งในที่ๆ ได้รับผลกระทบจากซึนามิ ในปี 2011 และกลับมาฟื้นฟูอีกครั้งนึงค่ะ เมืองมัตสึชิม่านี้ ในอ่าวมัตสึชิม่ามีเกาะน้อยใหญ่รวม 300 เกาะ ถือว่าเยอะมากๆ เลยค่ะ
ก่อนอื่นไปแวะทานมื้อเที่ยงที่ร้าน Date na Barbecue Matsu(伊達なバーベキューMATSU) เป็นร้านทานหอยนางรมอบแบบบุฟเฟ่ เพียงคนละ 2,500 เยนเท่านั้น แน่นอนเป็นหอยนางรมที่ร้านเก็บมาเองและนำมาอบให้เห็นกันตรงหน้าเลยค่ะ หลังจากอบจนสุกแล้วก็ได้เวลานำจานของตัวเองที่มีอยูบนโต๊ะไปตักค่ะ เป็นหอยนางรมที่อร่อยทานคู่กับซอสของร้านก็เด็ดมากๆ ค่ะ ห้ามพลาดจริงๆ ร้านนี้สำหรับคนรักที่หอยนางรม
และแล้วเราก็ไปต่อทานขนมกันต่อที่ ศาลาชมจันทร์คันรันเต (Kanrantei) ซึ่งเป็นที่พักผ่อนของดาเตะมาซามูเนะในสมัยก่อน ซึ่งดาเตะมาซามูเนะนั้นก็ใช้ที่แห่งนี้เป็นศาลาชมจันทร์นั่นเอง ที่นี่เปิดให้บริการสำหรับผู้ที่ต้องการมาจิบชาพร้อมทานขนมแสนอร่อยพร้อมๆ กับชมทิวทัศน์ของอ่าวมัตสึชิม่า แถมยังมีห้องแสดงวัตถุโบราณในสมัยก่อนให้ชมกันอีกด้วย
เมื่ออิ่มจากขนมและชา เรียกได้ว่าเกินอิ่มดีกว่า กินทั้งวัน 55 ก็เดินไปยังท่าเรือเพื่อนั่งเรือสำราญชมเกาะต่างๆ กันค่ะ ราคาต่อคนอยู่ที่ 1,500 เยนในเวลานี้พระอาทิตย์ก็เริ่มคล้อย แสงแดดก็เริ่มกลายเป็นสีส้ม ก็ได้บรรยากาศการล่องเรือที่สวยงามอีกแบบหนึ่งค่ะ เกาะต่างๆ ที่เราได้ล่องเรือผ่านนั้นก็มีรูปลักษณ์แตกต่างกันไป แต่ละเกาะไม่ใหญ่มากและไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ค่ะ ถือว่าได้ความเพลิดเพลินในการท่องเที่ยวไปอีกหนึ่งรูปแบบเลย
เมื่อเรานั่งชมเกาะต่างๆ ในอ่าวมัตสึชิม่าเสร็จแล้ว ก็ได้เวลากลับไปยังเซนไดเพื่อกลับไปยังโตเกียวกันค่ะ เมื่อถึงสถานีเซนได เราก็ไปรับกระเป๋าจากโรงแรมที่เราได้ฝากไว้และก็ถือโอกาสซื้อขนม, ของฝาก ก่อนที่จะต้องนั่งชินกังเซ็นกลับโตเกียวกันค่ะ
ในทริปนี้ทำให้ได้รู้ว่าการมาเที่ยวเซนไดด้วยตนเองนั้นไม่อยากเลยจริงๆ ค่ะ ทุกสถานที่เดินทางได้ง่ายๆ แถมใช้เวลาจากโตเกียวเพียงชั่วโมงครึ่งเท่านั้นเอง แถมอาหารทะเลก็สดและอร่อยมากๆ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยว ที่จะได้มาสัมผัสกับธรรมชาติและวัฒนธรรมของญี่ปุ่น พร้อมกับซื้อของสะสมน่ารักและชื่อดังของเซนไดกลับไปเป็นที่ระลึกกัน ถือเป็นอีกหนึ่งความทรงจำและประสบการณ์ดีๆ ที่ต้องมาสัมผัสให้ได้ซักครั้งค่ะ
เกริ่นกันก่อนสักนิด เซนได เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคโทโฮคุ ตั้งอยู่ในจังหวัดมิยางิ เป็นเมืองที่มีทั้งเรื่องของธรรมชาติและวัฒนธรรมที่น่าสนใจ แถมอาหารก็ยังอร่อย เรียกได้ว่าครบเครื่องเรื่องกินเรื่องเที่ยวกันเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าเมื่อเกือบ 5 ปีที่แล้วได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขึ้น แต่ตอนนี้บอกได้เต็มปากเลยว่าเมืองเซนไดนั้นปลอดภัยและสามารถเที่ยวได้อย่างสบายใจแล้ว
วันที่ 1 เข้าสู่โตเกียว
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่การเดินทางไปเที่ยวไหนเป็นเรื่องง่ายมากๆ โดยที่ไม่ต้องขับรถเองอีกด้วย การเดินทางที่แสนสะดวก ทุกวันนี้ญีปุ่นเนื่องจากมีการยกเว้นวีซ่า สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มาเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น แน่นอนจุดมุ่งหมายหลักของการมาเที่ยวญี่ปุ่นคือการได้เที่ยวชมสถานที่สวยๆ นี่แหละ สำหรับผู้ที่มาเที่ยวญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก เชื่อว่าหนีไม่พ้นเมืองหลวงอย่างกรุงโตเกียวล่ะ ฮ่าๆ โตเกียวนั้นถือได้ว่าเป็นเมืองแห่งสีสัน แหล่งแฟชั่นสำหรับวัยรุ่น ไปจนถึงแหล่งช๊อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมยอดนิยมในหมู่คนไทยนั่นเอง (เรื่องช๊อปกับชาวไทยนี่ขอให้บอก ของชอบเลย) นอกจากการช๊อปปิ้งซื้อของนั้นแล้วก็ต้องมีการเที่ยวชมความสวยงามทางธรรมชาติด้วย ครั้งนี้เราจะพาคุณท่องเที่ยวโตเกียวและมุ่งตรงสู่เมืองแห่งธรรมชาติอันสวยงามและอาหารทะเลอร่อยๆ ให้ได้ทานกันสดๆ กันนั้นก็คือเมืองเซนไดนั่นเอง
การท่องเที่ยวเดินทางในครั้งนี้เราเริ่มต้นไปที่สถานที่ๆ เรียกได้ว่ามาโตเกียวแล้วไม่ไปไม่ได้กันดีกว่านั้นก็คือ วัดเซ็นโซจิหรือวัดอาซาคุสะนั่นเอง (วัดเขาชื่อเซ็นโซจินะ บางทีเราเรียกว่าอาซาคุสะอาจจะมีคนไม่เข้าใจ อิอิ) การเดินทางไปนั้นก็มีหลายเส้นทางให้เลือกเดินทางไปได้อย่างสะดวกสบายสุดๆ ค่ะ เนื่องจากในครั้งนี้เราเข้าพักที่ โรงแรม Hotel Gracery Shinjuku โรงแรมใหม่ที่เพิ่งเปิดทำการตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน 2015 โรงแรมนั้นตั้งอยู่บน Toho cinemas ซึ่งถือได้ว่าเป็นโรงแรมที่ใครมาเห็นหรือเดินผ่านล่ะก็ต้องร้องโอ้โหกับ ก๊อซซิลล่าเหนือตัวอาคารภาพยนต์ เห็นว่าทางโรงแรมมีห้องพักมากถึง 970 ห้อง ซึ่งที่นี่คือที่ๆ เราจะเริ่มเดินทางกันค่ะ หลังจากที่เราเดินทางถึงประเทศญี่ปุ่น และมุ่งตรงสู่ชินจูกุเพื่อไปเก็บของงที่โรงแรมแล้ว เราก็เดินทางสู่อาซากุสะกันเลย จากโรงแรมเดินตรงสู่สถานีรถไฟชินจูกุ เดินทางด้วยรถไฟสาย Chuuou Soubu Line เนื่องจากสถานีรถไฟชินจูกุนั้นเป็นเสมือนเขาวงกตย่อมๆ ใครมาครั้งแรกหรือไม่ชินต้องมีมึนๆ บ้างล่ะ โปรดเตรียมตัวให้พร้อมนะจ๊ะ สิ่งที่ต้องมองหาคือป้ายค่ะ มองป้ายดีๆ หาให้เจอว่า Chuuou Soubu Line นั้นชี้ไปทางไหน ก็เดินตามทางนั้นไปค่ะ หลังจากเราขึ้นรถไฟแล้วก็มุ่งตรงสู่สถานี Asakusabashi เพื่อไปต่อรถไฟสาย Asakusa เพื่อต่อไปยังสถานีอาซาคุสะค่ะ เมื่อถึงสถานีอาซาคุสะให้ออกมาทางออก A4 เพื่อไปยังวัดเซนโซจิกันค่ะ
เมื่อออกมาจากสถานีแล้วให้เดินตรงสู่ถนนใหญ่เพื่อข้ามฝั่งไปยังวัดกันค่ะ ซึ่งก็อยู่ฝั่งตรงข้ามเลยมองเห็นได้ง่ายมากๆ เมื่อข้ามมาถึงเรียบร้อยเราก็เจอกับประตูโคมแดงกันค่ะ ขึ้นชื่อว่าวัดโคมแดง มันไม่ได้มีโคมเดียวนะคะ เพราะมีประตูต่างๆ ตามทิศและนี่เป็นเพียงแค่ประตูด่านแรกจากข้างหน้าวัดค่ะ พอผ่านประตูเข้าไปจะเจอถนนตรงสู่วัดซึ่งจะมีร้านค้ามากมายตั้งเรียงรายกันเต็มไปหมดเลยค่ะ มีทั้งของขายของฝากแบบญี่ปุ่นหรือร้านที่ให้บรรยากาศเก่าๆของญี่ปุ่นเรียงรายกันเต็มไปหมด ที่ขาดไม่ได้เมื่อมาถึงที่นี่ก็คือการแวะชิมอาเกะมันจูหรือซาลาเปาทอดค่ะ ขอบอกอร่อยมากต้องลองมีหลากหลายรสให้เลือกสรรค์ หลังจากอิ่มอร่อยจากอาเกะมันจูแล้วก็ได้เวลาเดินต่อสู่วัดต่อกันเลย ก่อนเข้าตัววัดจริงๆ เราจะเจออีกหนึ่งประตู ประตูนี้มีขนาดใหญ่ที่สุดของทุกๆ ประตูทางเข้าสู่วัดเลยค่ะ วัดเซนโซจิเป็นวัดที่สร้างขึ้นมาในปี ค.ศ.628 เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระโพธิสัตว์คันนอน (เจ้าแม่กวนอิม) แต่วัดได้ถูกทำลายไปเสียส่วนใหญ่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่ค่ะ สิ่งที่ขาดไม่ได้เมื่อมาที่วัดนี้คือการจุดเครื่องหอมปักลงในกระถางธูปขนาดใหญ่ แล้วก็โบกควันเข้าที่หัวของเราค่ะ เชื่อกันว่าเพื่อสุขภาพที่แข็งแรง อีกทั้งภายในอุโบสถก็ยังมีให้กราบไหว้เพื่ออธิฐานอีกด้วย การไหว้ขอพรของญี่ปุ่นที่รู้ๆ กันคือการโยนเหรียญเข้าไปในช่องรับเหรียญจากนั้นจึงขอพรได้ค่ะ ว่ากันว่าให้หย่อนเหรียญที่มีเลข 5 ค่ะ อทิ 5 เยน 50 เยน และ 500 เยนค่ะ เพื่อที่ให้ได้กลับมาที่นี่อีกครั้งหนึ่งนั่นเอง
เหรียญ 5 เยนถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดีนะจ๊ะ
หลังจากเดินเที่ยวชมวันเซ็นโซจิอย่างเต็มอิ่มแล้ว ก็เดินออกมากหน้าวัดแล้วเลี้ยวซ้ายค่ะ เดินตรงไปเรื่อยๆ เราจะเห็นตึกที่ๆ มีก้อนเมฆสีทอง นั้นก็คือตึกอาซาฮีค่ะ ให้เราเดินไปทางทิศนั้น ซึ่งที่เรากำลังจะเดินต่อไปนั้นก็คือท่าเรือค่ะ เราจะไปล่องเรือบนแม่น้ำซุมิดะคาวะกัน โดยขึ้นเรือที่ Tokyo Cruise เนื่องจากมีหลายเส้นทางให้เลือกว่าจะไปลงที่ไหน หรือจะเป็นแบบวนกลับมาที่เดิมก็ได้ค่ะ เนื่องจากเราจะไปยังสวนฮามะริคิวต่อ เราจึงเลือกสาย Sumidagawa Line เส้นสีแดงๆ ที่เห็นในภาพเลยค่ะ ซึ่งราคาก็เพียง 740 เยนเท่านั้นเอง โดยปกติแล้วเรามักจะเดินทางเที่ยวกันด้วยรถไฟกัน แต่ก็ยังมีเรือให้เราได้นั่งชมกรุงโตเกียวกันง่ายๆได้ที่นี่เลยค่ะ บนเรือนั้นจะมีสองชั้น ชั้นสำหรับชมวิวจากชั้นสองหรือจะเป็นชั้นล่างที่เป็นโซนนั่งดื่มและทานขนมได้ สามารถสั่งมาทานได้เลยค่ะ ที่ขาดไม่ได้คือ ของที่ขายบนเรือ แน่นอนว่าต้องเป็นของฝากค่ะ โมเดลมินิน่ารักๆ ของเรือที่ให้บริการมีสามแบบให้เลือกซื้อค่ะ ขณะนั่งชมเมืองก็จะมีเสียงผู้แนะนำเป็นภาษาญี่ปุ่นว่าตรงนี้คือที่ไหน และสะพานที่เรากำลังผ่านหรือที่เห็นตรงหน้า เป็นสะพานอะไร ความเป็นมาอย่างไร เนื่องจากเป็นบรรยายภาษาญี่ปุ่น สำหรับชาวต่างชาติ ทางเรือก็มีบริการ ผู้บรรยายส่วนตัวพกพายกหูฟังเหมือนคุยโทรศัพท์ด้วยตลอดเวลา ค่าบริการตลอดทริปคือ 300 เยนค่ะ
และแล้วเราก็มาถึงสวนฮามะริคิวกัน สวนแห่งนี้เป็นสวนที่โชกุนสมัยเอโดะได้สร้างขึ้นเพื่อพักผ่อน พำนักและเป็นสถานที่ขึ้นเรือเพื่อเดินทางไปยังเมืองต่างๆ ในสวนนั้นเต็มไปด้วยไม้ดัดแบบญี่ปุ่น การปลูกต้นไม้แต่ละต้นรวมถึงเนินเดินการจัดสวน ให้ผู้ที่มาเที่ยวชมได้ชมกับศิลปะการจัดสวนแบบญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ชมซากุระที่สวยงามแห่งหนึ่งของโตเกียวอีกด้วย และก็ยังมีร้านชาแบบญี่ปุ่นแท้ๆ เสิร์ฟพร้อมขนมหวานแบบญี่ปุ่นแท้ๆ เข้ากันอย่างลงตัวอีกด้วย ในร้านนั้นจะเลือกนั่งข้างในหรือนอกร้านก็ได้ ค่ะ ปกติแล้วจะเลือกนั่งข้างนอกกันเพราะจะได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศอันแสนสงบแบบญี่ปุ่นไปพร้อมๆกัน หลังจากจิบชาเสร็จแล้วเราก็มุ่งสู่ร้านซูชิขึ้นชื่อ ที่เรียกได้ว่าถ้าไม่จองก็ต้องไปยืนต่อคิวรอทานกันเลยทีเดียวนะเออ
เพื่อไปร้านซูชิแห่งนี้เราจึงเดินจากสวนฮามะริคิวไปยังสถานี Shinbashi สาย Asakusa Line ไปยังสถานี Takaracho แล้วเดินไปยังร้าน Ishijima ซึ่งเป็นร้านซูชิที่ปลาทั้งหมดส่งจากตลาดปลาซึคิจิ ในวันนี้เราสั่งเป็นเซ็ตค่ะ เซ็ตนึงมีสิบเมนู คือซูชิ 10 ชิ้นนั้นเอง ซึ่งราคาคือ 4000 เยนต่อคน ถ้าเทียบกับความอร่อยแล้วถือว่าคุ้มสุดๆ ไปเลยค่ะ
หลังจากเราอิ่มหนำสำราญเรียบร้อยกับซูชิ เราก็เดินต่อไปยังกินซ่าค่ะ แหล่งช๊อปปิ้งสุดหรูของคนญี่ปุ่น ที่มีร้านแบรนด์เนมชื่อดังของโลกเรียงรายตลอดเส้นทาง หรือแม้กระทั้งขนมหวานแสนอร่อยมากมายอีกด้วย มาแล้วก็ต้องแวะซักร้านให้ได้เลยล่ะ ในครั้งนี้เราเลือกร้านผลไม้ที่มีคาเฟ่ของหวานที่ทำจากผลไม้ชั้นเลิศอีกด้วย นั้นก็คือร้าน Ginza Sembikiya ที่มีประวัติยาวนานร่วมร้อยกว่าปี นับว่าเป็นร้านที่เก่าแก่แห่งนึงเลย เนื่องจากมาแล้วเราก็ต้องสั่ง เลยสั่ง Masuku Melon Parfait มีราคาถึง 1,944 เยนเลยที่เดียว (ได้ซูชิร้านเมื่อกี้ประมาณ 5 ชิ้นได้) ส่วนเครื่องดื่มก็ไม่พ้นเจ้าเมนล่อนเช่นกัน น้ำเมล่อน Melon Juice ราคา 1,512 เยน ราคานี้ถือว่าแพงแต่เทียบกับความอร่อยแล้วไม่เสียดายเลยล่ะ ความหวานฉ่ำอร่อยของเมล่อนแท้ๆ ไม่ผสมน้ำตาลหรือความหวานจากส่วนผสมใดๆ ถือว่าหากมาญี่ปุ่นแล้วต้องมาชิมร้านนี้ให้ได้ซักครั้งเลยล่ะ นอกจากคาเฟ่แล้วก็ยังจำหน่ายผลไม้สดให้เลือกสรรค์กันอีกด้วย //มาย่านช๊อปปิ้งแท้ๆ แต่กลับถูกหลอกล่อด้วยของอร่อยที่ไม่อาจละสายตาได้จริงๆ ค่ะ
สดฉ่ำอร่อยสุดๆ
เนื่องจากเข้าสู่ฤดูหนาวเราต้องรีบซักนิดนึงเพราะพระอาทิตย์ที่ญี่ปุ่นตกไวมากๆ ค่ะ 4 โมงครึ่งพระอาทิตย์ก็เริ่มๆ ตกดินแล้ว เราจึงต้องรีบไปที่ Tokyo Metropolitan Government Building เพื่อชมทิวทัศน์ของเมือง ที่สวยงามพร้อมพระอาทิตย์ตกกันที่นี่ค่ะ โดยเดินทางจากสถานี Yurakuchou สาย Yamanote Line ต่อไปยังสาย Oedo Line ที่สถานีรถไฟ Yoyogi เพื่อไปลงที่สถานี Tochomae จากนั้นก็ไปยัง Tokyo Metropolitan Government Building ซึ่งตึกนี้ถือได้ว่าเป็นสำนักงานใหญ่ของการท่องเที่ยวกรุงโตเกียวอีกด้วย แถมขึ้นเพื่อไปดูวิวเมืองก็ฟรี ถ้าวันที่อากาศแจ่มใสก็มองเห็นภูเขาไฟฟูจิเลยล่ะ ชั้นสำหรับชมวิวนั้นอยู่ที่ชั้น 45 ของตึก เมื่อขึ้นไปถึงแล้ว ก็จะสามารถชมทิวทัศน์อันสวยงามได้โดยรอบค่ะ กลังจากชมเสร็จแล้วก็มีของสะสมมากมายให้เลือกซื้ออีกด้วย
จากนั้นเราก็กลับไปยังชินจูกุกันต่อเลย โดยขึ้นสาย Oedo Line ลงสถานี Shinjuku Nishi Guchi เพื่อไปทานมื้อค่ำที่ถนน Omoide Yokochou เป็นถนนที่เป็นที่รวมร้านกินดื่มแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นร้านเล็กๆ เรียงกันเป็นเหมือนห้องแถว คล้ายๆ เยาวราชบ้านเรา แต่เป็นร้านแบบกินดื่ม อาหารอร่อยมากๆ เมนูส่วนใหญ่เป็นปิ้งย่างเสียบไม้ สะดวกแก่การสังสรรค์กับเพื่อนๆ มากๆ ค่ะ แต่ชินจูกุในยามค่ำคืนจะไม่ค่อยเหมาะกับการที่ผู้หญิงมาเดินกันตามลำพังซักเท่าไหร่ เพราะมีสถานบันเทิงมากมายหลายรูปแบบ แนะนำให้พาเพื่อนมาด้วยนะคะ
ทานแกล้มเบียร์ เพลินอย่าบอกใคร
จากนั้นเราก็กลับสู่โรงแรมก๊อตซิลล่ากันค่ะ เนื่องจากที่ญี่ปุ่นเชคอินได้หลังบ่ายสามเป็นต้นไป เราจึงรับกระเป๋าพร้อมกับเชคอินค่ะ จากนั้นก็ได้คีย์การ์ดห้องมา คีย์การ์ดของห้องนั้นก็เป็นลายฟิลม์ภาพยนต์ค่ะ สภาพของห้องนั้นเรียบๆ สะอาดเรียบร้อย มีอุปกรณ์ต่างๆ ให้อย่างครบครันค่ะ สิ่งที่ชอบมากที่สุดสำหรับห้องพักที่นี้ก็คือหน้าต่างห้องค่ะ เป็นแบบทางยาวเหนือเตียง เวลาพระอาทิตย์ขึ้นก็สามารถมองเห็นชินจูกุยามเช้าได้อย่างสวยงามมากๆเลยค่ะ
วันที่ 2 มุ่งหน้าสู่เมืองเซนได
วันนี้เราจะมุ่งหน้าสู่เซนไดกันค่ะ ก่อนอื่น โรงแรมนี้เชคเอ้าท์แบบใช้เครื่องเชคเอ้าท์ค่ะ คือให้เราสอดคีย์การ์ดห้องของเราเข้าไป หากไม่เสียค่าใดๆ เพิ่มเติมเครื่องก็จะปริ้นต์ใบเสร็จมาให้ค่ะ แต่ถ้าหากทีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสามารถจ่ายด้วยเงินสดหรือบัตรเครดิตได้อีกด้วย
เช้านี้เรานั่งรถไฟสาย Yamanote Line จากสถานีชินจูกุไปยังสถานีโตเกียวกันค่ะ เพื่อนที่เราจะขึ้นชินกันเซ้นไปยังเซ็นไดกันไปกลับด้วยชินกันเซ็นก็อยู่ที่ราคา 22,000 เยนค่ะ ซึ่งขบวนของเราเป็นแบบต้องจองที่นั่งเท่านั้น จะเลือกซื้อที่ตู้และจองเลยก็ได้ค่ะ ก่อนที่จะขึ้นชินกันเซ็นเราก็ไปซื้อสิ่งที่ขาดไม่ได้ยามขึ้นรถไฟค่ะ ได้แก่คือข้าวกล่องรถไฟนั้นเอง ซึ่งข้าวกล่องรถไฟที่สถานีโตเกียวนี้แทบจะเรียกได้ว่ารวมข้าวกล่องชื่อดังมากมายมาไว้ที่นี่เลยล่ะ เลือกยากมากๆ ครั้งนี้เลือกข้าวหน้าปลาไหลค่ะ จากนั้นก็ได้เวลาขึ้นรถไฟมุ่งสู่เซนได ด้วยชินกันเซ็นนี้ใช้เวลาจนถึงเซ็นไดเพียงแค่ชั่วโมงครึ่งเท่านั้นเอง ทานข้าวบนรถไฟอิ่มและพักซักเล็กน้อยก็พอดีเลยล่ะ เมื่อมาถึงเมืองเซนไดเมืองแห่งกิวตัน กิวตันคืออะไร คือลิ้นวัวย่างค่ะ ขอบอกอร่อยมากๆ กิว ที่แปลว่าในภาษาญี่ปุ่น ส่วนตัน มาจากคำว่า tongue ในภาษาอังกฤษ ที่แปลว่าลิ้นนั้นเอง มาสคอตของเมืองนี้ก็คือตัวที่เราเจอตามงานท่องเที่ยวญี่ปุ่นเป็นประจำคือมุสุบิมารุ นั้นเอง เป็นคาแรคเตอร์ที่ผสมผสานข้าวปั้นกับซามูไร ดาเตะ มาซามุเนะ ผู้ดังของเซนไดนั้นเอง
โรงแรมที่เราจะพักในเซนไดชื่อว่า Hotel Metropolitan Sendai ที่เรียกได้ว่าอยู่ติดกับสถานี เพียงเดินจากสถานีก็ถึงปุ๊บเลยล่ะ ถือได้ว่าสะดวกแก่การท่องเที่ยวเซนไดมากๆ เพียงออกมาหน้าโรงแรมก็จะถึงท่ารถบัส ให้เดินทางไปยังมุมต่างๆ ของเมืองเซนไดได้อย่างสะดวกมากๆ ครั้งนี้เราเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ ของเซนไดกันค่ะ ซึ่งทางเซนไดก็มีรถพิเศษที่เรียกว่า Loople Sendai เป็นรถบัสที่ออกแบบมาให้ความรู้สึกถึงความคลาสสิคได้เป็นอย่างดี ในราคาตลอดเส้นทางเพียง 620 เยนเท่านั้น สถานที่ท่องเที่ยวตามเส้นทางที่แรกที่เราจะไปคือ สุสาน Zuihoden เป็นสุสานที่ฝั่งร่างของดาเตะมาซามูเนะ อีกด้วยขณะที่ไปเป็นฤดูใบไม้ร่วงพอดีจึงประจวบเหมาะกับช่วงใบไม้เปลี่ยนสีทำให้เมื่อเดินก่อนถึงสุสานนั้น ก็พบกับต้นไม้เปลี่ยนสีสองสี คือสีเหลืองและสีแดงประสานกันอยู่ ซึ่งสวยงามมากๆ เลยค่ะ ในส่วนของสุสาน เป็นอาคารที่คล้ายกับวัดหรือศาลเจ้า ซึ่งได้ถามผู้ดูแล ก็ได้ความว่าภายในนี้แหละมีร่างของดาเตะมาซามูเนะฝั่งอยู่ค่ะ
หลังจากนั้นเมื่อชมบริเวณโดยรอบอย่างเต็มอิ่มแล้วก็เดินทางสู่ที่ๆ หากมาเซนไดแล้วไม่ไปไม่ได้คือปราสาทเซนไดนั่นเอง แน่นอนว่าเราก็ยังใช้บริการของ Loople Sendai กันต่อค่ะ ที่ปราสาทเซนได เนื่องจากตัวปราสาทในตอนนี้ได้ถูกทำลายลงไปแล้วนั้น มีแค่ส่วนที่เป็นกำแพงเท่านั้นที่ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่ และรูปปั้นของดาเตะมาซามูเนะที่กำลังทรงม้าที่ทุกคนต้องมาเพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเลยล่ะ และที่ขาดไม่ได้คือการได้ชมวิวของเมืองเซนไดจากที่ตั้งของปราสาทเซนไดอีกด้วย
ภายในปราสาทนั้นยังมีศาลเจ้าให้ได้เข้าไปขอพรกันอีกด้วยค่ะ และที่นี่ยังมีร้านขายขนมที่ทำจากวัตถุดิบของเมืองเซนไดให้ได้ลองชิมกัน และที่สำคัญยังมีร้านกิวตันที่ชื่อว่า Date no Gyutan Aobajou ซึ่งอร่อยมากๆ พอได้ชิมเข้าไปนั้นถึงกับหลงรักลิ้นวัวย่างหรือกิวตันแห่งเมืองเซนไดเลยล่ะ
เมื่อทานอิ่มแล้วอย่ารอช้าค่ะเราจะนั่งรถไฟต่อไปยัง Osaki Hachimangu Shrine เป็นศาลเจ้าที่ก่อตั้งโดยดาเตะมาซามุเนะ ที่มีการสร้างได้อย่างสวยงามจนได้เป็นหนึ่งในสมบัติอันล้ำค่าของญี่ปุ่น มาที่นี่แน่นอนอย่าลืมแวะชิมสาเกหวานนะคะ เป็นสาเกอุ่นๆ หวานๆ ให้ได้ลองชิมกันได้ที่นี่ค่ะ
จากนั้นก็นั่งรถบัสกลับเข้าเมืองเซนไดค่ะ ถัดจากป้ายของศาลเจ้าเพียงหนึ่งป้ายเท่านั้นเพื่อเดินชมถนนโจเซนจิ ที่เรียงรายไปด้วยต้นเคยากิสัมผัสกับบรรยาการของต้นไม้ที่ทำกำลังเปลี่ยนสีตลอดสายค่ะ แต่ปีนี้เค้าว่ากันว่าต้นไม้เปลี่ยนสีเร็วกว่าทุกปีถึงสองสัปดาห์ทำให้ตอนที่เรามาถึงก็ร่วงไปเยอะแล้ว
จากนั้นเดินต่อไปยังย่านการค้าแห่งเมืองเซนได “อิจิบันโจ” ที่นี่มีร้านค้ามากมายให้ได้เลือกซื้อของฝากและสินค้าประจำเมือง หรือร้านสินค้าแบรนด์ท้องถิ่นมากมาย เมื่อเดินไปเรื่อยๆ ก็จะพบร้านฮามายะ ร้านลูกชิ้นลิ้นวัวทอด ลูกละ 76 เยน ซึ่งเป็นเมนูยอดนิยมเลยล่ะ ส่วนตัวแอบรสชาติเหมือนแหนมบ้านเรานะคะ นอกจากนี้ยังมีร้านชาแบบญี่ปุ่น, ร้านขายตุ๊กตาโคเคชิซึ่งเป็นตุ๊กตาชื่อดังของเซนได และอีกมากมายเลยค่ะ
พิเศษไปยิ่งกว่านั้นคือ LINE ช็อปของเซนได ที่มีตัวคาแร๊กเตอร์ของ LINE มาแต่งตัวในชุดของดาเตะ มาซามูเนะ และพวกพ้องค่ะ เป็นอีกหนึ่งความน่ารักที่ต้องมาชมให้ได้เลยล่ะ แถมยังมีคุ๊กกี้ลายเฉพาะที่นี่ที่เดียวขายด้วย
พอเดินช๊อปปิ้งจนเหนื่อยแล้ว ก็ไปทานอาหารมื้อพิเศษกันต่อกับร้านที่คุณสามารถประมูลปลาสดๆ กันได้ในร้านในช่วงเวลาสองทุ่มของทุกวัน เหมือนได้ประมูลปลาอยู่ในตลาดปลาจริงๆ แต่ละเมนูก็อร่อยมากๆ เลยค่ะ ซาชิมิอร่อยสุด หรือแม้แต่เทมปุระ!! ลืมบอกไปค่ะร้านนี้ชื่อ Suda Sengyoten หากมาเซ็นไดแล้วลองมาทานที่นี่ให้ได้นะคะ
จากนั้นเราก็กลับโรงแรมเพื่อพักผ่อนแล้วเที่ยวเซนไดต่อในวันพรุ่งนี้ค่ะ ภายในห้องพักนั้นถือว่าครบครันและสะดวกสบายมากค่ะ แต่เนื่องจากเหนื่อยจากการท่องเที่ยวทั้งวันหลังจากอาบน้ำก็สลบอย่างสบายบนเตียงนอนของโรงแรมค่ะ
วันที่ 3
วันนี้ถือได้ว่าเป็นวันสุดท้ายของการท่องเที่ยวในทริปนี้ค่ะ และวันนี้เราต้องไปปีนบันไดพันขั้น (โดยประมาณนะ 555) กันอีกด้วย มาเติมพลังด้วยอาหารเช้าของโรงแรมกันเลยดีกว่า ปกติแล้วมื้อเช้าของโรงแรมทั่วไป จะมีให้เลือกเมนูแบบตะวันตกหรือแบบญี่ปุ่น เรานั้นมาญี่ปุ่นทั้งทีก็ต้องเลือกเมนูแบบญี่ปุ่นเนอะ ห้องอาหารนั้นอยู่ชั้น 2 ชื่อห้องอาหาร Ayase ค่ะ เมื่อเราเข้าไปเค้าจะให้เรานั่งในห้องอาหารส่วนตัว และอาหารนั้นเป็นเซ็ตแบบสวยงามมากเลยค่ะ และอร่อยอีกด้วย นานๆ จะได้ทานอาหารเช้าที่จัดอย่างสวยงามขนาดนี้
หลังจากเติมพลังเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางสู่ วัดบันไดพันขั้น “วัดยามะเดระ” เดินทางจากสถานีรถไฟเซนได สู่สถานียามะเดระ ด้วยรถไฟสาย Senzan Line เมื่อถึงที่สถานีก็เห็นวัดได้อย่างชัดเจนบนยอดเขา จากนั้นก็เดินสู่ตัววัด เมื่อเข้ามายังตัววัดแล้วเราก็เดินสู่ทางเข้าตัวภูเขาที่เราต้องเดินขึ้นบันไดกันค่ะ ค่าเข้าคนละ 300 เยน
เมื่อเดินขึ้นไปตามทางบันไดในแว่บแรก ฉันคงไม่ทีทางปีนได้แน่ๆ แต่ด้วยธรรมชาติอันส่วยงามและศิลปะของรูปปั้นตลอดทางก็ช่วยให้ลืมถึงความเหนื่อยไปได้เลยค่ะ เมื่อไปถึงข้างบนสุดก็จะมองเห็นภูเขาของอีกฝากและหมู่บ้านของผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ เป็นทิวทัศน์ที่สวยมากๆเลย จนลืมไปเลยว่าตัวเองกลัวความสูง
หลังจากเรากลับลงมาจากบนเขาเราก็มุ่งสู่เมืองมัตสึชิม่าค่ะ โดยนั่งกลับไปเปลี่ยนสายที่สถานีเซนได และขึ้นสาย Tohoku Main Line ต่อไปยังสถานีมัตสึชิม่า เมืองมัตสึชิม่าเป็นหนึ่งในที่ๆ ได้รับผลกระทบจากซึนามิ ในปี 2011 และกลับมาฟื้นฟูอีกครั้งนึงค่ะ เมืองมัตสึชิม่านี้ ในอ่าวมัตสึชิม่ามีเกาะน้อยใหญ่รวม 300 เกาะ ถือว่าเยอะมากๆ เลยค่ะ
ก่อนอื่นไปแวะทานมื้อเที่ยงที่ร้าน Date na Barbecue Matsu(伊達なバーベキューMATSU) เป็นร้านทานหอยนางรมอบแบบบุฟเฟ่ เพียงคนละ 2,500 เยนเท่านั้น แน่นอนเป็นหอยนางรมที่ร้านเก็บมาเองและนำมาอบให้เห็นกันตรงหน้าเลยค่ะ หลังจากอบจนสุกแล้วก็ได้เวลานำจานของตัวเองที่มีอยูบนโต๊ะไปตักค่ะ เป็นหอยนางรมที่อร่อยทานคู่กับซอสของร้านก็เด็ดมากๆ ค่ะ ห้ามพลาดจริงๆ ร้านนี้สำหรับคนรักที่หอยนางรม
และแล้วเราก็ไปต่อทานขนมกันต่อที่ ศาลาชมจันทร์คันรันเต (Kanrantei) ซึ่งเป็นที่พักผ่อนของดาเตะมาซามูเนะในสมัยก่อน ซึ่งดาเตะมาซามูเนะนั้นก็ใช้ที่แห่งนี้เป็นศาลาชมจันทร์นั่นเอง ที่นี่เปิดให้บริการสำหรับผู้ที่ต้องการมาจิบชาพร้อมทานขนมแสนอร่อยพร้อมๆ กับชมทิวทัศน์ของอ่าวมัตสึชิม่า แถมยังมีห้องแสดงวัตถุโบราณในสมัยก่อนให้ชมกันอีกด้วย
เมื่ออิ่มจากขนมและชา เรียกได้ว่าเกินอิ่มดีกว่า กินทั้งวัน 55 ก็เดินไปยังท่าเรือเพื่อนั่งเรือสำราญชมเกาะต่างๆ กันค่ะ ราคาต่อคนอยู่ที่ 1,500 เยนในเวลานี้พระอาทิตย์ก็เริ่มคล้อย แสงแดดก็เริ่มกลายเป็นสีส้ม ก็ได้บรรยากาศการล่องเรือที่สวยงามอีกแบบหนึ่งค่ะ เกาะต่างๆ ที่เราได้ล่องเรือผ่านนั้นก็มีรูปลักษณ์แตกต่างกันไป แต่ละเกาะไม่ใหญ่มากและไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ค่ะ ถือว่าได้ความเพลิดเพลินในการท่องเที่ยวไปอีกหนึ่งรูปแบบเลย
เมื่อเรานั่งชมเกาะต่างๆ ในอ่าวมัตสึชิม่าเสร็จแล้ว ก็ได้เวลากลับไปยังเซนไดเพื่อกลับไปยังโตเกียวกันค่ะ เมื่อถึงสถานีเซนได เราก็ไปรับกระเป๋าจากโรงแรมที่เราได้ฝากไว้และก็ถือโอกาสซื้อขนม, ของฝาก ก่อนที่จะต้องนั่งชินกังเซ็นกลับโตเกียวกันค่ะ
ในทริปนี้ทำให้ได้รู้ว่าการมาเที่ยวเซนไดด้วยตนเองนั้นไม่อยากเลยจริงๆ ค่ะ ทุกสถานที่เดินทางได้ง่ายๆ แถมใช้เวลาจากโตเกียวเพียงชั่วโมงครึ่งเท่านั้นเอง แถมอาหารทะเลก็สดและอร่อยมากๆ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยว ที่จะได้มาสัมผัสกับธรรมชาติและวัฒนธรรมของญี่ปุ่น พร้อมกับซื้อของสะสมน่ารักและชื่อดังของเซนไดกลับไปเป็นที่ระลึกกัน ถือเป็นอีกหนึ่งความทรงจำและประสบการณ์ดีๆ ที่ต้องมาสัมผัสให้ได้ซักครั้งค่ะ