สวัสดีค่ะ เรากลับมาพบกันอีกแล้วววววว กับการท่องเที่ยวในเกาะคิวชูนะคะ จังหวัดที่เราจะมาแนะนำในครั้งนี้ ได้แก่จังหวัดโออิตะค่ะ (ตอนนี้เราเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ที่จังหวัดนี้ค่ะ >__<) ก่อนอื่นเลยพูดถึงจังหวัดโออิตะแล้ว ก็ต้องพูดถึงบ่อน้ำพุร้อนหรือว่าออนเซ็นนั่นเอง สำหรับวันนี้เราจะพาทุกคนไปชมบรรยากาศสถานที่ต่างๆในจังหวัดโออิตะกันนะคะ
สำหรับการเดินทางโดยรถไฟ สามารถขึ้นได้จากสถานี Hakata station (博多駅) ไปยัง Beppu station (別府駅) ได้โดยตรงเลยค่ะ สำหรับรถไฟจะเป็นรถไฟด่วนพิเศษ Sonic ซึ่งจะมีรอบการเดินทางตั้งแต่ตอนเช้า ตี5 จนไปถึงตอน 4 ทุ่มกว่าเลยค่ะ หากท่านไหนถือบัตร North Kyushu JR Pass หรือ All Kyushu JR Pass ก็สามารถออกตั๋วเวลาไหนก็ได้เลย แต่สำหรับท่านไหนที่ไม่ได้ซื้อบัตรไว้ ต้องไปซื้อที่เค้าท์เตอร์ในสถานีฮาคาตะเท่านั้นนะคะ แล้วก็ออกเดินทางสู่จังหวัดโออิตะกันเลยยยยย !
ท่านใดที่ถือ Rail Pass สามารถออกตั๋วได้เลย สบายๆ
แอ่นแอ๊น ถึงแล้วจ้า สถานี Beppu Station (別府駅) การเดินทางครั้งนี้เราจะพาทุกท่านเริ่มต้นจากที่นี่ไปยังสถานที่ต่างๆ นะคะ ที่แรกสำหรับวันนี้เราจะไปชมสวนดอกไม้ประจำฤดูใบไม้ร่วงที่เขตนาคาสึกันนะคะ (Nakatsu 中津) สำหรับการเดินทางจากเบ็ปปุ เราสามารถซื้อตั๋วรถไฟได้จากเค้าท์เตอร์ตรงนี้ได้เลยนะคะ เราจะต้องนั่งรถไฟสายที่จะไป Hakata Station (博多駅)เท่านั้นนะคะถึงจะสามารถไปนาคาสึได้ ให้เราเข้าไปในห้อง Tickets แล้วเลือกช่วงเวลาที่เราอยากจะเดินทางได้เลย สำหรับท่านที่ถือ North Kyushu JR Pass หรือ All Kyushu JR Pass แน่นอนว่าไม่ต้องเสียตังเพิ่มแล้วนะคะ เราสามารถออกตั๋วได้ทันที แต่ว่าท่านไหนที่ไม่ได้ถือ สำหรับค่าเดินทางไปนั้นจะอยู่ที่ราคา 1,330 เยนค่ะ
สำหรับประตูที่เราจะขึ้นก็คือเบอร์ 3 และ 4 นะคะ อย่าไปขึ้นประตู 1 กับ 2 น้า เพราะอันนั้นจะไปที่อื่นนะคะ ฮาๆ
เย้! นี่คือโฉมหน้าตั๋วรถไฟด่วนพิเศษ Sonic ที่เรากำลังจะนั่งไปกันนะคะ อย่าลืมนะค้าว่าจะต้องมีสองใบ แล้วต้องเก็บตั๋วไว้ให้ดีๆ นะคะ เพราะว่าพนักงานในรถไฟจะขอตรวจบัตรอีกครั้งนะคะ พอเราเข้ามาภายในรถไฟแล้วก็อย่าลืมดูที่นั่งในตั๋วแล้วหาที่นั่งกันเลยนะคะ การเดินทางเราจะใช้เวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมงกับอีก 15 นาทีโดยประมาณค่ะ ใครที่เดินทางตอนเช้าก็สามารถนอนหลับบนรถไฟได้นะคะ มองวิวข้างนอกพักผ่อนจนกว่าจะถึงที่หมายได้เลย แต่อย่านอนเลยป้ายนะคะ อย่าลืมฟังเสียงประกาศว่าถึงป้ายไหนแล้วน้า
สำหรับท่านที่อยากเดินทางจากสถานี Hakata station (博多駅) ไปสู่งสถานี Nakatsu Station (中津駅) โดยตรง ก็สามารถเดินทางได้เช่นกันค่ะ โดยรถไฟด่วนพิเศษ Sonic เหมือนกับที่เราไปสถานี Beppu Station (別府駅) เลยค่ะ แต่ให้เราลงที่สถานี Nakatsu Station (中津駅) แทน (Nakatsu Station เป็นสถานีทางผ่านก่อนจะถึงสถานี Beppu Station ) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 24 นาทีก็จะถึงสถานี Nakatsu Station (中津駅)
แท่นแท๊นนนนนน เราเดินทางมาถึงนาคาสึเรียบร้อยแล้วค่ะ ให้เราเดินออกประตูทางด้านขวา (ฝั่ง Family Mart) จากประตูทางออกรถไฟนะคะ แล้วก็เดินตรงไปเราจะเห็นทางด้านขวามืออีกฝั่งเป็นสถานีรถบัสค่ะ ตอนนี้เราจะพาทุกคนไปชมเทศกาลดอกไม้คอสมอสที่งาน Sanko Cosmos Festival (三光コスモス祭り) กัน สำหรับในปีนี้ 2016 คือครบรอบ 10 ปีในการจัดเทศกาลนี้ขึ้นค่ะ และในทุกๆ ปีจะจัดเพียงแค่ประมาณ 1 เดือนเท่านั้น โดยจัดเฉพาะเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนของทุกๆปี
สำหรับตั๋วรถบัสที่เราจะซื้อขึ้นไปนะคะ เราสามารถซื้อได้จากเค้าท์เตอร์ตรงสถานีรถบัสได้เลย บอกที่เค้าท์เตอร์ว่าไปสถานี นาริสึเนะ (Naritsune 成恒) หรืออีกทางเราสามารถขึ้นรถบัสได้เลยแล้วค่อยหยิบใบเพื่อจ่ายเงินตอนก่อนลงบัสก็ได้ค่ะ แต่แนะนำให้ซื้อเป็นตั๋วที่เค้าท์เตอร์จะดีกว่านะคะ ราคาตั๋ว 430 เยน เดินทางเพียงแค่ 30 นาทีโดยประมาณ
รถบัสให้ขึ้นสายนี้นะคะ ที่เขียนว่า Oita Hokubu Bus (大分北部バス) ตั๋วพร้อม ใจพร้อม แล้วออกเดินทางกันเลยยยยยยย !
พอเราเดินทางมาถึงสถานีนาริสึเนะแล้ว ก็ให้เดินลงโดยไม่ต้องข้ามถนนนะคะ ให้เราเดินตรงไปเรื่อยๆ เพราะว่าระหว่างทางเดินเองเราก็จะได้เห็นทุ่งดอกไม้คอสมอสเช่นกัน เราจะต้องเดินตรงไปแล้วเราจะพบกับเส้นทางที่พาไปงานได้เลยค่ะ ตรงนั้นจะมีเจ้าหน้าที่ดูแลสถานที่ออกมาอำนวยความสะดวกให้กับพวกเราอยู่ตลอดเวลาไม่ต้องห่วงไปนะคะ
ในขณะที่เราเดินมาเรื่อยๆ เราก็จะเจอทุ่งดอกคอสมอสอยู่เต็มถนนไปหมดเลยล่ะค่ะ ทั้งด้านซ้ายมือและขวามือ ต่างก็เป็นทุ่งที่เราสามารถเดินเข้าไปชมได้ทันที แต่ยังไม่ถึงจุดที่เราจะไปกันนะคะ ต้องเดินไปอีก แล้วเราจะเจอลานกว้างๆ ตรงนั้นเราสามารถขึ้นไปชมดอกไม้ข้างบนได้ค่ะ
ตอนที่เราจะข้ามมาฝั่งนี้ให้เราเดินข้ามถนนแล้วก็เดินข้ามสะพานมา ก็จะเจอทางเข้างานแล้วค่า เราสามารถเดินเข้าไปชมได้เลย การเข้าชมเราจะไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น เท่ากับว่างานนี้เราฟรีนะคะ สามารถเดินเข้าไปในทางเท้าที่สถานที่ได้ทำไว้ให้ได้ค่ะ (ถ้าหากอยากจะเดินเข้าไปในกลางทุ่ง)
ที่นี่มีดอกไม้อยู่ 5 ชนิดค่ะได้แก่
- ดอก Yellow Cumpus
- ดอก Cosmos Sulphureus
- ดอก Picoty
- ดอก Sensation
- ดอก Mandarin
พอเราเดินตรงมาเรื่อยๆ เราสามารถขึ้นไปชมดอกไม้ได้จากข้างบนด้วยล่ะค่ะ แต่ระวังหน่อยนะคะ เพราะรองเท้าอาจจะเปื้อนดินกลับมาได้นะคะ ค่อยๆ เดิน แต่อยากจะให้ทุกท่านลองสังเกตดูนะคะ ว่าดอกไม้ที่เรามองลงมาจากข้างบน เป็นรูปอะไร
นี่เลยยยยยยยย ทุกคนคงจะมองแว๊บเดียวแล้วรู้เลยใช่มั้ยคะว่าคืออะไรเอ่ยยยยยย ? เป็นรูปปิกาจูนั่นเองงงงง น่ารักใช่มั้ยล่ะคะ >___< สำหรับเทศกาลในปีนี้ ทางสถานที่ได้ออกแบบเป็นรูปตัวการ์ตูนต่างๆ แล้วทำการปลูกดอกไม้ชนิดต่างๆ แล้วสร้างออกมาเป็นรูปให้เราได้ชมกันนะคะ ไม่ได้ทำกันง่ายๆ เลย เพราะต้องมีการวางแผน การจัดเรียงเมล็ดต่างๆ เพื่อให้ดอกไม้โตขึ้นมาแล้วจะเป็นรูปที่เราออกแบบไว้นะคะ สวนและน่ารักมากๆเลย
นี่ก็เป็นภาพบรรยากาศคร่าวๆ ที่เราเก็บมาฝากทุกๆ ท่านกันนะคะ ทุกคนสามารถเดินชมได้ตั้งแต่ต้นทางจนถึงสุดปลายทางของสวนดอกไม้คอสมอสได้เลยค่ะ แต่ถ้าท่านไหนเดินหมดแล้ว อยากจะกลับแล้ว ทางสถานที่ก็มีเตรียมรถ Shuttle Bus ฟรีจาก นาริสึเนะ ไปถึงสถานีนาคาสึด้วยนะคะ
ถ้าเราอยากจะขึ้นรถบัสกลับนะคะ เราจะต้องเช็คตารางเวลาของรถบัสก่อนว่ามีมากี่โมงบ้าง รอบที่เราขึ้นคือมาตอน 11:00 โมงเป๊ะค่ะ เราไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เลย ขึ้นฟรีส่งตรงถึงสถานีรถไฟนาคาสึนะคะ (รถคันนี้จะไม่แวะลงที่ไหน ยกเว้นสถานีรถไฟเท่านั้น) เราจะเดินทางกลับไปสถานีนาคาสึแล้วกลับเบ็ปปุเพื่อเดินทางไปสถานที่ต่อไปนะคะ สำหรับใครที่อยากอยู่ถ่ายรูปต่อก็สามารถอยู่ได้เลยค่า แล้วเราสามารถเช็ครอบรถบัสได้จากป้ายประกาศและเจ้าหน้าที่ได้เรื่อยๆเลยค่ะ
สำหรับประตูที่จะขึ้นกลับเบ็ปปุ ให้ขึ้นประตูหมายเลข 2 แล้วก็รอรถไฟกลับเบ็ปปุกันนะคะ
หลังจากที่กลับมาจากนาคาสึนะคะ พอเราเดินออกจากประตูในสถานีเบ็ปปุ ทางด้านซ้ายมือจะมี Tourist Information Center ให้ทุกคนเข้าไปสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับบัตร One day Bus ticket หรือ ‘My Beppu Free ticket (Wide Free Type) ในราคา 1,600 เยน ค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะพนักงานสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ค่ะ เขาจะอธิบายเป็นภาษาอังกฤษพร้อมกับให้เอกสารเกี่ยวกับตารางรถบัส และแผนที่ในการเดินทางในเบ็ปปุนะคะ แล้วก็ทุกคนอย่าลืมใช้เหรียญหรืออะไรก็ได้ขูดไปที่ข้างหลังบัตรนะคะ เพื่อแสดงให้คนขับเห็นว่าเราจะใช้บัตรในวันไหน เพื่อเอาไว้ตรวจสอบว่าหมดอายุหรือใช้ไปแล้วหรือยังนะคะ อย่าลืมขูดกันด้วยน้า
ให้เราเดินออกประตู West Gate หรือประตูทางด้านซ้ายมือของสถานีเบ็ปปุ แล้วไปรอขึ้นรถบัสสาย Kamenoi ตรงหมายเลข 2 นะคะ เราสามารถขึ้นรถบัสสาย 41 ไปยัง เมียวบัง (Myoban) สถานที่ ที่เราจะพาทุกท่านไปต่อจากนี้นะคะ หรือสถานที่ต่อไปก็คือ Myoban Onsen Okamotoya ที่นี่มีขนมพุดดิ้งที่ขึ้นชื่อรวมไปถึงบ่อออนเซ็นที่มีชื่อเสียงด้วยเช่นกัน ถ้าพร้อมแล้ว เดินทางกันเลยยยยย
พอเราเดินทางเข้ามาเรื่อยๆ ขึ้นเขามาเรื่อยๆ เราจะเจอกับร้าน Okamotoya ซึ่งเป็นจุดพักชมวิวและรับประทานอาหารหรือขนมของหวานท่ามกลางบ่อน้ำพุร้อนหรือออนเซ็นนั่นเอง จากตรงนี้เราสามารถมองเห็นวิวบนเขาลงไปข้างล่างในเมืองได้ด้วยล่ะค่ะ อาจจะไม่ใช่จุดที่สูงมากเท่าไหร่ แต่ก็สามารถมองเห็นวิวได้ทั่วเลย
ที่ร้านนี้ไม่ได้ขึ้นชื่อเพียงแค่พุดดิ้งเท่านั้นนะคะ ทั้งไข่ต้มจากบ่อออนเซ็น หรือว่าจะเป็นโทริเต็น (とり天) ที่เป็นไก่ทอดก็อร่อยไม่แพ้กันเลย แถมของหวานไม่ใช่แค่พุดดิ้งเท่านั้นนะคะ ยังมีพาเฟ่ต์ต่างๆ อีกด้วย อย่าลืมแวะไปทานกันนะคะ อร่อยมากกกกกก รับประกันสำหรับคนชอบทานขนมหวานเลย
ชมวิวกันแล้ว ตอนนี้เราจะพาทุกคนลงไปเมียวบังสปากันนะคะ แต่เนื่องจากเราเองมีเวลาค่อนข้างจำกัดในครั้งนี้เลยสามารถแนะนำได้เพียงแค่ทางเดินที่จะไปสปาเท่านั้นนะคะ แฮะๆ อาจจะต้องเดินลงเยอะหน่อยนะคะ เพราะว่าเป็นทางเนินเขา
เราสามารถเดินไปตามทางนี้ได้เลยนะคะ แล้วสังเกตป้ายต่างๆ จะมีทั้งบ่อน้ำพุร้อน สปา สำหรับท่านไหนที่อยากจะเดินเที่ยวชมข้างบน สามารถเดินกลับทางเดินได้เลยนะคะ (แต่มันสูงหน่อยนะคะ เพราะตอนลงอาจจะสบายแต่ตอนขึ้นนี่ลำบากเหมือนกันค่ะ)
ฮึบ ฮึบ ! เอาล่ะค่ะ พอเราปีนขึ้นมาจากข้างล่างแล้วนะคะ (มันค่อนข้างสูงถึงกับใช้คำว่าปีนเลยทีเดียว ฮาๆ) ก่อนที่เราจะเดินทางไปที่ต่อไป ตรงนี้เราสามารถเข้าไปชมบ่อน้ำพุร้อนข้างในได้นะคะ แต่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ โดยผู้ใหญ่จะราคา 200 เยน และ ราคาเด็กราคา 100 เยน ค่า เปิดทำการแค่ตอน 8:30 (ตอนเช้า) ถึงแค่ 17:30 เท่านั้นนะคะ อ้อ เมียวบังออนเซ็นยังมีอยู่อีกที่หนึ่งที่เรียกว่า Myoban Onsen Yunosato ซึ่งที่นั่นเราสามารถเข้าชมได้ฟรีค่ะ
โอเคค่า หลังจากนี้เราจะพาทุกท่านไปที่ต่อไปกันเลย นั่นก็คือ บ่อน้ำร้อนที่ทุกคนที่มาเที่ยวเบ็ปปุจะต้องไม่พลาดเด็ดขาดนั่นก็คือ Umijigoku (海地獄) ที่ๆ มีบ่อน้ำร้อนสีฟ้าและสีแดงแบบเดือดสุดๆไปเลยให้เราได้ชมกันนะคะ หรือจะเรียกอีกอย่างว่า ทะเลนรก (บ่อน้ำพุนรก) ก็ว่าได้ เราสามารถนั่งรถจากสถานี Jizoyu mae กลับไปที่ Umijigoku ให้นั่งรถบัสหมายเลข 5 นะคะ สาย Kamenoi (亀の井バス) แล้วก็อย่าลืมตั๋ว One day Pass นะค้า เราจะต้องใช้อีกไม่งั้นจะต้องเสียตังเพิ่มนะคะ ><
มาถึงแล้ว! Umijigoku หรือ บ่อนรก ! พอเราลงมาจากป้ายบัส ให้เราเลี้ยวไปตามป้ายแล้วเดินขึ้นไปข้างบนได้เลยค่า เดินนิดนึง แต่ไม่ไกลมากค่ะ >-<! แล้วพอเราเดินขึ้นมาเรื่อยๆเราจะต้องซื้อตั๋วกันก่อนนะคะ โดยไปที่เค้าท์เตอร์ตรงตึกสีน้ำตาลหรือทางเข้าสำหรับราคาค่าเข้าชม
ราคาสำหรับผู้ใหญ่ 400 เยน
ราคาสำหรับเด็กมัธยมปลาย 300 เยน
ราคาสำหรับเด็กมัธยมต้น 250 เยน
และราคาสำหรับเด็กเล็ก 200 เยน
พอเราซื้อตั๋วกันแล้วก็เข้ามาข้างไหนกันเลย ที่นี่จะแบ่งออกเป็นหลายๆโซนด้วยกัน บ่อน้ำพุที่เด่นเป็นหลักๆ จะมีสองบ่อค่ะ เป็นบ่อน้ำพุร้อนสีฟ้าและสีแดง สำหรับบ่อน้ำพุร้อนสีฟ้า จะอยู่ทางด้านในซึ่งเราจะต้องเดินผ่านร้านค้าเข้าไปก่อนถึงจะเจอนะคะ
พอเราเดินเข้ามาข้างในแล้วจะเจอร้านขายของฝากต่างๆ มากมายเลย แต่ว่าอันนี้เราสามารถย้อนกลับมาดูตอนขากลับได้ค่ะ เพราะฉะนั้น เดี๋ยวเราจะแวะไปดูบ่อนรกกันก่อนนะคะ แล้วค่อยกลับมาที่นี่กัน อิอิ
พอเราเดินออกมาจากร้านขายของฝาก บ่อที่เราเจอข้างในก็คือบ่อนรกสีฟ้าค่ะ อุณหภูมินี่ไม่ได้พูดถึงเลย สูงแน่นอน อย่าเอาหน้าไปเข้าใกล้นะคะ เพราะร้อนมากจริงๆ ส่วนควันจากบ่อน้ำร้อนไม่มีผลอะไรนะคะ ไม่ต้องห่วงค่า เราสามารถถ่ายรูปเก็บไว้ได้ แต่ต้องหามุมนะคะไม่งั้นควันจะฟุ้งแล้วเห็นแต่ควันไม่เห็นบ่อน้ำนะค้า
พอเราเดินขึ้นมาทางข้างหลังของบ่อน้ำร้อนสีฟ้า เราจะเห็นเสาหลักตั้งอยู่ ข้างบนจะมีศาลเจ้าเล็กๆของที่นี่ด้วยล่ะค่ะ ทุกคนสามารถเดินขึ้นไปขอพรและไหว้กันได้นะคะ แต่ก่อนที่จะขึ้นอย่าลืมแวะล้างมือล้างหน้าด้วยนะ
ก่อนที่เราจะไปบ่อนรกสีแดงที่ต่อไป เราก็จะต้องเดินกลับออกมาทางเดิมค่ะ แต่ก่อนที่เราจะกลับไปข้างหน้ากัน เราอยากจะแนะนำผลิตภัณฑ์นี้มากๆ เลยค่ะ นั่นก็คือผงฟูที่เอาไว้ใช้อาบน้ำที่บ้านค่ะ พอเราใส่ไว้ในอ่างแล้วก็จะละลายเป็นสีฟ้าแล้วให้เราแช่ตัวค่ะ ถ้าใครสนใจก็สามารถซื้อไปลองกันได้นะคะ >__< เห็นเขาบอกกันว่าเอาไปใช้แล้วสบาย แต่สีสวยจริงๆ ฮาๆๆ
นี่คือบ่อนรกสีแดง หรือว่า Mini Chinoike Jigoku บ่อนี้จะเป็นสีแดงแล้วเดือดยิ่งกว่าอันสีฟ้าซะอีก ถัดจากบ่อนรกสีแดงนี้ทางด้านขวามือ ก็จะเห็น Green House ที่ข้างในมีดอกบัวและเก็บน้ำไว้ในห้องนี้ด้วยอีกค่ะ สามารถเข้าไปชมได้
พอเราเดินลงมาอีกสักนิดนึงก็จะพบกับอีกบ่อนึง ที่เป็นศาลาพักผ่อนหรือว่า Hot Spring ไว้สำหรับแช่เท้าด้วยนะคะ ทุกคนสามารถมานั่งพักและแช่เท้าในบ่อออนเซ็นนี้ได้เลยค่ะ นับว่าเป็นการผ่อนคลายที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้ ยิ่งมาหน้าหนาวนี่ยิ่งฟินมากๆ เลยค่ะ เพราะว่าอากาศบนเขาค่อนข้างหนาว ถ้าได้มาแช่แล้วล่ะก็ โอ้โหหหห ฟินสุดๆ ไปเลย อย่าลืมลองมาแช่กันนะคะ เย้
เอาล่ะค่ะ! วันนี้ก็มาถึงที่หมายสุดท้ายแล้วสำหรับการเดินทางในวันนี้ นั่นก็คือ! Yufuin หรือ ยูฟูอิน จ้าาาาา! หลังจากออกมาจาก Umijigoku ก็ให้เดินข้ามถนนมาฝั่งตรงกันข้ามเพื่อมาขึ้นรถบัสอีกฝั่งนะคะ เพื่อที่เราจะไปหมู่บ้านยูฟูอินกัน และแน่นอนว่าอย่าลืมตั๋วที่เราซื้อ One day pass มานะคะ เพราะว่าใช้ได้ไปถึงที่นี่เลย รถบัสจะเป็นรถบัสสายไปยูฟูอินโดยตรงเลยจ้า ถ้ารถมาแล้ว ก็ขึ้นเลยยยยย ให้ไปลงสถานีปลายทางนะคะ อย่าเผลอลงก่อนน้า
พอเราเดินตรงมาเรื่อยๆ แล้วให้ข้ามถนนไปทางซ้ายมือ แล้วเดินเข้าซอยเลยนะคะ ต่อจากถนนตรงนี้ก็จะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ซึ่งร้านขายของเยอะแยะเลยค่ะ แล้วก็เป็นร้านอาหารเล็กๆ ที่ทุกคนสามารถนั่งรับประทานกันได้แบบชิวๆเลย
ตอนนี้จะขอแนะนำร้านขนม, อาหาร, ของหวานต่างๆ ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทุกๆ คน ที่มาแล้วต้องไม่พลาดอย่างแรกเลย อันนี้ก็จะเป็น เอ...จะเรียกเป็นภาษาไทยก็กลัวจะใช้คำไม่ถูกนะคะ อารมณ์ประมาณว่าข้างในจะเป็นไส้เนื้อ ไส้หมู แบบชุปแป้งทอดนะคะ บอกเลยว่าอร่อยมากๆ เป็นของขึ้นชื่อของที่ยูฟูอินเลยค่ะ คนต่อแถวเยอะมากกกก 1 ชิ้นราคา 160 เยนเท่านั้น กินตอนร้อนๆ อร่อยสุดๆ ไปเลยยยย
ต่อมาเป็นร้านซอฟต์ครีมที่ข้างล่างเป็นพุดดิ้งนะคะ อันนี้ก็อร่อยไม่แพ้ซอฟต์ครีมธรรมดาเลยล่ะค่ะ เพราะว่าไม่ว่าจะกินเป็นโคน เป็นถ้วย ก็จะมีพุดดิ้งสอดไส้เข้าไปด้วยค่ะ แถมรถชาติไอศกรีมยังมีเป็นรสน้ำผึ้งและนมสดปะปนไปด้วย อันนี้ก็ห้ามพลาดเชียวนะคะ สามารถนั่งทานที่หน้าร้านได้ค่ะ
สำหรับร้านนี้ ขารักการกินชีสจะต้องไม่พลาด!! เพราะว่าทั้งร้านนี้ขายชีสทั้งร้านเลย มีทั้งชีสเค้ก ชีสกับขนมปัง ชีสต่างๆ นาๆ มีเยอะมากกกก ใครรักการกินชีสหรือว่าชอบชีส แนะนำร้านนี้เลยค่ะ มันเรียกได้ว่าศูนย์รวมความเป็นชีสเลยก็ว่าได้ (ฮาๆๆ)
และขอแนะนำร้านนี้อีกร้านนะคะ อยากจะบอกว่า….ว่า..... ทาร์ตชีสร้านนี้ อร่อยเกินล้านมากค่ะ ยิ่งกินตอนร้อนๆๆๆ ตอนเพิ่งออกมาจากเตาอยากบอกว่า ฟินมากกกกกก 1 ชิ้นราคา 210 เยนค่ะ ถ้าจะเอาใส่กล่องกลับบ้านจะต้องซื้อ 5 ชิ้นขึ้นไปเท่านั้น ส่วนซื้อ 1 ชิ้นเขาจะใส่ถุงซีลไว้ให้เราแล้วค่ะ เราสามารถนั่งทานได้ หรือจะเก็บใส่กระเป๋าไปกินที่อื่นก็ได้ค่า แต่อย่านานมากเกินไปนะคะเพราะจะเสียรสชาติเอา (แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ กินตอนเย็นๆ ก็ยังอร่อยนะคะ)
เดินต่อมาเรื่อยๆ เราก็จะพบกับน้องหมาสนูปปี้นั่นเองงงงงงงง แน่นอนว่าน้องสนูปี๊มาในธีมชาเขียวนั่นเอง ด้านนอกจะขายเครื่องดื่มและไอศกรีมค่ะ แต่สำหรับด้านในร้านแล้วจะเป็น Snoopy Café นะคะ มีทั้งอาหาร,เครื่องดื่ม, ของหวาน และอื่นๆ ในร้านนี้นะคะ ใครที่เป็นขาชอบกินชาเขียว ก็ต้องไม่พลาดกับคาเฟ่ต์น่ารักๆ แบบนี้นะคะ บรรยากาศก็ยังดีอีกด้วย อย่าลืมแวะไปกันนะคะ หรือจะไปถ่ายรูปน้องสนูปปี๊ข้างหน้าร้านก็ยังได้นะคะ เย้ >w<
พอเดินตรงมาเรื่อยๆ ทางด้านซ้ายมือก็จะมีซอยเล็กๆ ค่ะ นั่นก็คือซอยเข้า Floral Village ซึ่งเป็นจุดไฮไลท์ในครั้งนี้ด้วยนะคะ ข้างในนี้มีทั้งร้านขายของมากมาย ชมสัตว์น่ารักๆ และแน่นอน เป็นมุมที่เหมาะกับการถ่ายรูปที่ยูฟูอินด้วยล่ะค่ะ สวยมากๆ เดี๋ยวเราจะพาไปดูบรรยากาศรอบๆ กันในนี้เลยนะคะ
หมู่บ้านยูฟุอินฟลอร์รัล (Yufuin Floral Village) เป็นหมู่บ้านจำลองสไตล์ยุโรป และเหมือนอยู่ในยุโรปโบราณ ถือเป็นไฮไลท์หนึ่งประจำเมืองยูฟุอิน ที่นี่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวจากหลายๆ ประเทศเป็นอย่างมาก เหมาะแก่การเดินเล่นและถ่ายรูปสุดๆเลยค่ะ ร้านอาหาร ร้ายขายของที่ระลึก มีเต็มท้องถนนเลย
นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของบรรยากาศที่อยากจะให้ทุกคนได้มาเดินชมกันนะคะ ถึงแม้ว่าจะเป็นซอยเล็กๆ แต่ข้างในมีร้านค้าเยอะแยะมากมายเลย แถมยังมีมุมให้เราได้เก็บภาพสวยๆ กันไปอีกด้วย พอเดินๆ แล้วท้องร้อง ใครที่อยากเก็บท้องไปรับประทานอาหารมื้อเย็น ตอนนี้เรามีร้านอาหารที่อยากจะแนะนำทุกคนด้วย
สำหรับการเดินไปซอยร้านอาหารที่เราจะพาทุกคนไป เราจะต้องเดินออกทางประตูที่เราเดินมาในตอนเข้าซอยทีแรก แล้วเดินเลี้ยวซ้ายแล้วก็เดินตรงไปเรื่อยๆ เลยนะคะ พอเราเจอร้านต่างๆ แล้วเจอหัวมุมที่มีทางโค้ง ให้เราเดินลงข้างล่างตรงนั้นไปเลยยยยย แล้วจะเห็นร้านของกินทางด้านขวาเยอะๆนั่นนะคะ ให้เราเดินลงไปเรื่อยๆเลย ให้เราเดินตามทางลงไปเรื่อยๆเลยนะคะ จะมีร้านให้สังเกตตามที่ต่างๆ ตามในรูปที่ถ่ายไว้นะคะ (ขอโทษสำหรับรูปในซอยที่ภาพเบลอนะคะ พอดีตอนนั้นเดินแล้วรีบถ่ายเฉยเลย T_____T แต่ถ้าคุ้นทางให้ดูจากตรงนี้ได้เลยนะคะ)
และแล้ววววว สำหรับร้านอาหารในมื้อเย็นนี้ ก็คือร้าน Yufu Mabushi Shin Kinrinko Honten 由布まぶし心 金鱗湖本店 ค่ะ (http://ichiba.geocities.jp/ggkbh080/) ที่ร้านอาหารนี้จะขึ้นชื่อในอาหาร 3 อย่าง
เซ็ตเนื้อไก่ เซ็ตเนื้อวัว เซ็ตเนื้อปลาไหล เพียงราคาเซ็ตละ 2,361 เยน +ภาษี ที่ร้านนี้มีวิธีการเสิร์ฟอาหารเป็นตามลำดับขั้นตอนที่เขาได้กำหนดไว้ แถมยังมีลำดับขั้นตอนในการปรุงอาหารด้วยตัวเองอีกด้วย! ร้านนี้มีเมนูภาษาอังกฤษไม่ต้องห่วงนะคะ วิธีการรับประทานต่างๆ ก็มีบอกพร้อมเลย
ก่อนอื่นเลยสิ่งที่ทางร้านจะเสิร์ฟให้ก่อนเลยคือเซตนี้ค่ะ เป็นของรองท้องกันก่อนเลย แล้วก็เป็นเซ็ตสำหรับเครื่องปรุงที่เราจะเอาไว้ใช้ปรุงอาหารกันนะคะ รสชาติก็จะมีพวก มิโสะ, วาซาบิ, โชยุ, พริกต่างๆ เราสามารถใส่ได้ตามใจชอบเลย
ก่อนอื่นขอแนะนำลำดับขั้นตอนในการใส่เครื่องปรุงและการผสมเข้าด้วยกันนะคะ สามารถดูลำดับขั้นตอนได้ตามตัวเลขที่เขียนลงบนภาพเลยน้า
จากลำดับแรกนะคะเมื่อเราได้หม้อมาแล้วก็แค่เปิดฝามันออกค่ะ เสียงนี่กำลังซู่ซ่าส์ร้อนเต็มที่
ขั้นตอนที่ 2 ให้เรานำไม้พายคลุกข้าวให้ผสมเข้าด้วยกัน
ขั้นตอนที่ 3 ให้เรานำเครื่องเคียงต่างๆ ผักที่เราชอบและรับประทานใส่เทลงไปในหม้อแล้วคลุกให้เข้ากันค่ะ
ขั้นตอนที่ 4 คลุกกันจนกว่าความร้อนจะค่อยๆ ลดลงนะคะ
ขั้นตอนที่ 5 ให้นำเครื่องปรุงที่มี ซอสมิโสะ วาซาบิ พริก โชยุ ต่างๆ ใส่ลงไปในข้าวได้เลยค่ะ รสชาติเราสามารถใส่ตามใจชอบได้เลยไม่ต้องห่วงน้า
ขั้นตอนสุดท้าย ก็คือคลุกทุกอย่างให้เข้ากันแล้วให้นำไม้พายเก็บไว้ที่เดิมแล้วใช้ช้อนอันใหญ่และตะเกียบในการรับประทานกันนะคะ! >O< และแล้วก็ออกมาเป็นแบบในรูปนี่แหล่ะค่า เย้ น่าทานใช่มั้ยล่ะคะ เนื่องจากเราทานเนื้อไม่ได้วันนี้เลยนำเสนอเป็นข้าวหน้าไก่แทน ฮาๆ
ทุกคนก็ได้รับชมกันไปแล้วนะคะ สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดโออิตะ และ ร้านอาหารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านเล็กๆ จนไปถึงร้านอาหารใหญ่ ก็อยากจะเชิญชวนทุกคนมาเที่ยวในจังหวัดนี้นะคะ ที่นี่ยังมีอะไรอีกมากมายที่คุณไม่เคยคาดคิดมาก่อน เมื่อพูดถึงเกาะที่เต็มไปด้วยธรรมชาติลอบล้อมแล้ว เกาะคิวชูก็เป็นอีกที่นึงที่สวยงามและธรรมชาติอย่างเต็มที่แน่นอน! ใครที่อยากจะสอบถามอะไรเพิ่มเติมก็สามารถสอบถามได้เลยนะคะ อย่าลืมแวะมาที่จังหวัดโออิตะกันด้วยนะค้า ><
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมของจังหวัดโออิตะ ท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
http://oita.namjai.cc
http://th.visit-oita.jp/
อ้อ ลืมบอกไปว่าการท่องเที่ยวในโออิตะยังไม่จบเพียงเท่านี้ เราติดตามตอนต่อไปได้เร็วๆ นี้จ้า
แหล่งที่มา https://ja.wikipedia.org/wiki/大分県
สถานที่ต่างๆ ที่เราจะไปกันในครั้งนี้นะคะ
สำหรับการเดินทางโดยรถไฟ สามารถขึ้นได้จากสถานี Hakata station (博多駅) ไปยัง Beppu station (別府駅) ได้โดยตรงเลยค่ะ สำหรับรถไฟจะเป็นรถไฟด่วนพิเศษ Sonic ซึ่งจะมีรอบการเดินทางตั้งแต่ตอนเช้า ตี5 จนไปถึงตอน 4 ทุ่มกว่าเลยค่ะ หากท่านไหนถือบัตร North Kyushu JR Pass หรือ All Kyushu JR Pass ก็สามารถออกตั๋วเวลาไหนก็ได้เลย แต่สำหรับท่านไหนที่ไม่ได้ซื้อบัตรไว้ ต้องไปซื้อที่เค้าท์เตอร์ในสถานีฮาคาตะเท่านั้นนะคะ แล้วก็ออกเดินทางสู่จังหวัดโออิตะกันเลยยยยย !
สถานที่จำหน่ายตั๋ว
ท่านใดที่ถือ Rail Pass สามารถออกตั๋วได้เลย สบายๆ
แอ่นแอ๊น ถึงแล้วจ้า สถานี Beppu Station (別府駅) การเดินทางครั้งนี้เราจะพาทุกท่านเริ่มต้นจากที่นี่ไปยังสถานที่ต่างๆ นะคะ ที่แรกสำหรับวันนี้เราจะไปชมสวนดอกไม้ประจำฤดูใบไม้ร่วงที่เขตนาคาสึกันนะคะ (Nakatsu 中津) สำหรับการเดินทางจากเบ็ปปุ เราสามารถซื้อตั๋วรถไฟได้จากเค้าท์เตอร์ตรงนี้ได้เลยนะคะ เราจะต้องนั่งรถไฟสายที่จะไป Hakata Station (博多駅)เท่านั้นนะคะถึงจะสามารถไปนาคาสึได้ ให้เราเข้าไปในห้อง Tickets แล้วเลือกช่วงเวลาที่เราอยากจะเดินทางได้เลย สำหรับท่านที่ถือ North Kyushu JR Pass หรือ All Kyushu JR Pass แน่นอนว่าไม่ต้องเสียตังเพิ่มแล้วนะคะ เราสามารถออกตั๋วได้ทันที แต่ว่าท่านไหนที่ไม่ได้ถือ สำหรับค่าเดินทางไปนั้นจะอยู่ที่ราคา 1,330 เยนค่ะ
สำหรับประตูที่เราจะขึ้นก็คือเบอร์ 3 และ 4 นะคะ อย่าไปขึ้นประตู 1 กับ 2 น้า เพราะอันนั้นจะไปที่อื่นนะคะ ฮาๆ
เย้! นี่คือโฉมหน้าตั๋วรถไฟด่วนพิเศษ Sonic ที่เรากำลังจะนั่งไปกันนะคะ อย่าลืมนะค้าว่าจะต้องมีสองใบ แล้วต้องเก็บตั๋วไว้ให้ดีๆ นะคะ เพราะว่าพนักงานในรถไฟจะขอตรวจบัตรอีกครั้งนะคะ พอเราเข้ามาภายในรถไฟแล้วก็อย่าลืมดูที่นั่งในตั๋วแล้วหาที่นั่งกันเลยนะคะ การเดินทางเราจะใช้เวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมงกับอีก 15 นาทีโดยประมาณค่ะ ใครที่เดินทางตอนเช้าก็สามารถนอนหลับบนรถไฟได้นะคะ มองวิวข้างนอกพักผ่อนจนกว่าจะถึงที่หมายได้เลย แต่อย่านอนเลยป้ายนะคะ อย่าลืมฟังเสียงประกาศว่าถึงป้ายไหนแล้วน้า
สำหรับท่านที่อยากเดินทางจากสถานี Hakata station (博多駅) ไปสู่งสถานี Nakatsu Station (中津駅) โดยตรง ก็สามารถเดินทางได้เช่นกันค่ะ โดยรถไฟด่วนพิเศษ Sonic เหมือนกับที่เราไปสถานี Beppu Station (別府駅) เลยค่ะ แต่ให้เราลงที่สถานี Nakatsu Station (中津駅) แทน (Nakatsu Station เป็นสถานีทางผ่านก่อนจะถึงสถานี Beppu Station ) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 24 นาทีก็จะถึงสถานี Nakatsu Station (中津駅)
แท่นแท๊นนนนนน เราเดินทางมาถึงนาคาสึเรียบร้อยแล้วค่ะ ให้เราเดินออกประตูทางด้านขวา (ฝั่ง Family Mart) จากประตูทางออกรถไฟนะคะ แล้วก็เดินตรงไปเราจะเห็นทางด้านขวามืออีกฝั่งเป็นสถานีรถบัสค่ะ ตอนนี้เราจะพาทุกคนไปชมเทศกาลดอกไม้คอสมอสที่งาน Sanko Cosmos Festival (三光コスモス祭り) กัน สำหรับในปีนี้ 2016 คือครบรอบ 10 ปีในการจัดเทศกาลนี้ขึ้นค่ะ และในทุกๆ ปีจะจัดเพียงแค่ประมาณ 1 เดือนเท่านั้น โดยจัดเฉพาะเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนของทุกๆปี
สำหรับตั๋วรถบัสที่เราจะซื้อขึ้นไปนะคะ เราสามารถซื้อได้จากเค้าท์เตอร์ตรงสถานีรถบัสได้เลย บอกที่เค้าท์เตอร์ว่าไปสถานี นาริสึเนะ (Naritsune 成恒) หรืออีกทางเราสามารถขึ้นรถบัสได้เลยแล้วค่อยหยิบใบเพื่อจ่ายเงินตอนก่อนลงบัสก็ได้ค่ะ แต่แนะนำให้ซื้อเป็นตั๋วที่เค้าท์เตอร์จะดีกว่านะคะ ราคาตั๋ว 430 เยน เดินทางเพียงแค่ 30 นาทีโดยประมาณ
รถบัสให้ขึ้นสายนี้นะคะ ที่เขียนว่า Oita Hokubu Bus (大分北部バス) ตั๋วพร้อม ใจพร้อม แล้วออกเดินทางกันเลยยยยยยย !
พอเราเดินทางมาถึงสถานีนาริสึเนะแล้ว ก็ให้เดินลงโดยไม่ต้องข้ามถนนนะคะ ให้เราเดินตรงไปเรื่อยๆ เพราะว่าระหว่างทางเดินเองเราก็จะได้เห็นทุ่งดอกไม้คอสมอสเช่นกัน เราจะต้องเดินตรงไปแล้วเราจะพบกับเส้นทางที่พาไปงานได้เลยค่ะ ตรงนั้นจะมีเจ้าหน้าที่ดูแลสถานที่ออกมาอำนวยความสะดวกให้กับพวกเราอยู่ตลอดเวลาไม่ต้องห่วงไปนะคะ
ในขณะที่เราเดินมาเรื่อยๆ เราก็จะเจอทุ่งดอกคอสมอสอยู่เต็มถนนไปหมดเลยล่ะค่ะ ทั้งด้านซ้ายมือและขวามือ ต่างก็เป็นทุ่งที่เราสามารถเดินเข้าไปชมได้ทันที แต่ยังไม่ถึงจุดที่เราจะไปกันนะคะ ต้องเดินไปอีก แล้วเราจะเจอลานกว้างๆ ตรงนั้นเราสามารถขึ้นไปชมดอกไม้ข้างบนได้ค่ะ
ตอนที่เราจะข้ามมาฝั่งนี้ให้เราเดินข้ามถนนแล้วก็เดินข้ามสะพานมา ก็จะเจอทางเข้างานแล้วค่า เราสามารถเดินเข้าไปชมได้เลย การเข้าชมเราจะไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น เท่ากับว่างานนี้เราฟรีนะคะ สามารถเดินเข้าไปในทางเท้าที่สถานที่ได้ทำไว้ให้ได้ค่ะ (ถ้าหากอยากจะเดินเข้าไปในกลางทุ่ง)
ที่นี่มีดอกไม้อยู่ 5 ชนิดค่ะได้แก่
- ดอก Yellow Cumpus
- ดอก Cosmos Sulphureus
- ดอก Picoty
- ดอก Sensation
- ดอก Mandarin
พอเราเดินตรงมาเรื่อยๆ เราสามารถขึ้นไปชมดอกไม้ได้จากข้างบนด้วยล่ะค่ะ แต่ระวังหน่อยนะคะ เพราะรองเท้าอาจจะเปื้อนดินกลับมาได้นะคะ ค่อยๆ เดิน แต่อยากจะให้ทุกท่านลองสังเกตดูนะคะ ว่าดอกไม้ที่เรามองลงมาจากข้างบน เป็นรูปอะไร
นี่เลยยยยยยยย ทุกคนคงจะมองแว๊บเดียวแล้วรู้เลยใช่มั้ยคะว่าคืออะไรเอ่ยยยยยย ? เป็นรูปปิกาจูนั่นเองงงงง น่ารักใช่มั้ยล่ะคะ >___< สำหรับเทศกาลในปีนี้ ทางสถานที่ได้ออกแบบเป็นรูปตัวการ์ตูนต่างๆ แล้วทำการปลูกดอกไม้ชนิดต่างๆ แล้วสร้างออกมาเป็นรูปให้เราได้ชมกันนะคะ ไม่ได้ทำกันง่ายๆ เลย เพราะต้องมีการวางแผน การจัดเรียงเมล็ดต่างๆ เพื่อให้ดอกไม้โตขึ้นมาแล้วจะเป็นรูปที่เราออกแบบไว้นะคะ สวนและน่ารักมากๆเลย
นี่ก็เป็นภาพบรรยากาศคร่าวๆ ที่เราเก็บมาฝากทุกๆ ท่านกันนะคะ ทุกคนสามารถเดินชมได้ตั้งแต่ต้นทางจนถึงสุดปลายทางของสวนดอกไม้คอสมอสได้เลยค่ะ แต่ถ้าท่านไหนเดินหมดแล้ว อยากจะกลับแล้ว ทางสถานที่ก็มีเตรียมรถ Shuttle Bus ฟรีจาก นาริสึเนะ ไปถึงสถานีนาคาสึด้วยนะคะ
ถ้าเราอยากจะขึ้นรถบัสกลับนะคะ เราจะต้องเช็คตารางเวลาของรถบัสก่อนว่ามีมากี่โมงบ้าง รอบที่เราขึ้นคือมาตอน 11:00 โมงเป๊ะค่ะ เราไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เลย ขึ้นฟรีส่งตรงถึงสถานีรถไฟนาคาสึนะคะ (รถคันนี้จะไม่แวะลงที่ไหน ยกเว้นสถานีรถไฟเท่านั้น) เราจะเดินทางกลับไปสถานีนาคาสึแล้วกลับเบ็ปปุเพื่อเดินทางไปสถานที่ต่อไปนะคะ สำหรับใครที่อยากอยู่ถ่ายรูปต่อก็สามารถอยู่ได้เลยค่า แล้วเราสามารถเช็ครอบรถบัสได้จากป้ายประกาศและเจ้าหน้าที่ได้เรื่อยๆเลยค่ะ
สำหรับประตูที่จะขึ้นกลับเบ็ปปุ ให้ขึ้นประตูหมายเลข 2 แล้วก็รอรถไฟกลับเบ็ปปุกันนะคะ
หลังจากที่กลับมาจากนาคาสึนะคะ พอเราเดินออกจากประตูในสถานีเบ็ปปุ ทางด้านซ้ายมือจะมี Tourist Information Center ให้ทุกคนเข้าไปสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับบัตร One day Bus ticket หรือ ‘My Beppu Free ticket (Wide Free Type) ในราคา 1,600 เยน ค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะพนักงานสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ค่ะ เขาจะอธิบายเป็นภาษาอังกฤษพร้อมกับให้เอกสารเกี่ยวกับตารางรถบัส และแผนที่ในการเดินทางในเบ็ปปุนะคะ แล้วก็ทุกคนอย่าลืมใช้เหรียญหรืออะไรก็ได้ขูดไปที่ข้างหลังบัตรนะคะ เพื่อแสดงให้คนขับเห็นว่าเราจะใช้บัตรในวันไหน เพื่อเอาไว้ตรวจสอบว่าหมดอายุหรือใช้ไปแล้วหรือยังนะคะ อย่าลืมขูดกันด้วยน้า
ให้เราเดินออกประตู West Gate หรือประตูทางด้านซ้ายมือของสถานีเบ็ปปุ แล้วไปรอขึ้นรถบัสสาย Kamenoi ตรงหมายเลข 2 นะคะ เราสามารถขึ้นรถบัสสาย 41 ไปยัง เมียวบัง (Myoban) สถานที่ ที่เราจะพาทุกท่านไปต่อจากนี้นะคะ หรือสถานที่ต่อไปก็คือ Myoban Onsen Okamotoya ที่นี่มีขนมพุดดิ้งที่ขึ้นชื่อรวมไปถึงบ่อออนเซ็นที่มีชื่อเสียงด้วยเช่นกัน ถ้าพร้อมแล้ว เดินทางกันเลยยยยย
พอเราเดินทางเข้ามาเรื่อยๆ ขึ้นเขามาเรื่อยๆ เราจะเจอกับร้าน Okamotoya ซึ่งเป็นจุดพักชมวิวและรับประทานอาหารหรือขนมของหวานท่ามกลางบ่อน้ำพุร้อนหรือออนเซ็นนั่นเอง จากตรงนี้เราสามารถมองเห็นวิวบนเขาลงไปข้างล่างในเมืองได้ด้วยล่ะค่ะ อาจจะไม่ใช่จุดที่สูงมากเท่าไหร่ แต่ก็สามารถมองเห็นวิวได้ทั่วเลย
ที่ร้านนี้ไม่ได้ขึ้นชื่อเพียงแค่พุดดิ้งเท่านั้นนะคะ ทั้งไข่ต้มจากบ่อออนเซ็น หรือว่าจะเป็นโทริเต็น (とり天) ที่เป็นไก่ทอดก็อร่อยไม่แพ้กันเลย แถมของหวานไม่ใช่แค่พุดดิ้งเท่านั้นนะคะ ยังมีพาเฟ่ต์ต่างๆ อีกด้วย อย่าลืมแวะไปทานกันนะคะ อร่อยมากกกกกก รับประกันสำหรับคนชอบทานขนมหวานเลย
ชมวิวกันแล้ว ตอนนี้เราจะพาทุกคนลงไปเมียวบังสปากันนะคะ แต่เนื่องจากเราเองมีเวลาค่อนข้างจำกัดในครั้งนี้เลยสามารถแนะนำได้เพียงแค่ทางเดินที่จะไปสปาเท่านั้นนะคะ แฮะๆ อาจจะต้องเดินลงเยอะหน่อยนะคะ เพราะว่าเป็นทางเนินเขา
เราสามารถเดินไปตามทางนี้ได้เลยนะคะ แล้วสังเกตป้ายต่างๆ จะมีทั้งบ่อน้ำพุร้อน สปา สำหรับท่านไหนที่อยากจะเดินเที่ยวชมข้างบน สามารถเดินกลับทางเดินได้เลยนะคะ (แต่มันสูงหน่อยนะคะ เพราะตอนลงอาจจะสบายแต่ตอนขึ้นนี่ลำบากเหมือนกันค่ะ)
ฮึบ ฮึบ ! เอาล่ะค่ะ พอเราปีนขึ้นมาจากข้างล่างแล้วนะคะ (มันค่อนข้างสูงถึงกับใช้คำว่าปีนเลยทีเดียว ฮาๆ) ก่อนที่เราจะเดินทางไปที่ต่อไป ตรงนี้เราสามารถเข้าไปชมบ่อน้ำพุร้อนข้างในได้นะคะ แต่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ โดยผู้ใหญ่จะราคา 200 เยน และ ราคาเด็กราคา 100 เยน ค่า เปิดทำการแค่ตอน 8:30 (ตอนเช้า) ถึงแค่ 17:30 เท่านั้นนะคะ อ้อ เมียวบังออนเซ็นยังมีอยู่อีกที่หนึ่งที่เรียกว่า Myoban Onsen Yunosato ซึ่งที่นั่นเราสามารถเข้าชมได้ฟรีค่ะ
โอเคค่า หลังจากนี้เราจะพาทุกท่านไปที่ต่อไปกันเลย นั่นก็คือ บ่อน้ำร้อนที่ทุกคนที่มาเที่ยวเบ็ปปุจะต้องไม่พลาดเด็ดขาดนั่นก็คือ Umijigoku (海地獄) ที่ๆ มีบ่อน้ำร้อนสีฟ้าและสีแดงแบบเดือดสุดๆไปเลยให้เราได้ชมกันนะคะ หรือจะเรียกอีกอย่างว่า ทะเลนรก (บ่อน้ำพุนรก) ก็ว่าได้ เราสามารถนั่งรถจากสถานี Jizoyu mae กลับไปที่ Umijigoku ให้นั่งรถบัสหมายเลข 5 นะคะ สาย Kamenoi (亀の井バス) แล้วก็อย่าลืมตั๋ว One day Pass นะค้า เราจะต้องใช้อีกไม่งั้นจะต้องเสียตังเพิ่มนะคะ ><
มาถึงแล้ว! Umijigoku หรือ บ่อนรก ! พอเราลงมาจากป้ายบัส ให้เราเลี้ยวไปตามป้ายแล้วเดินขึ้นไปข้างบนได้เลยค่า เดินนิดนึง แต่ไม่ไกลมากค่ะ >-<! แล้วพอเราเดินขึ้นมาเรื่อยๆเราจะต้องซื้อตั๋วกันก่อนนะคะ โดยไปที่เค้าท์เตอร์ตรงตึกสีน้ำตาลหรือทางเข้าสำหรับราคาค่าเข้าชม
ราคาสำหรับผู้ใหญ่ 400 เยน
ราคาสำหรับเด็กมัธยมปลาย 300 เยน
ราคาสำหรับเด็กมัธยมต้น 250 เยน
และราคาสำหรับเด็กเล็ก 200 เยน
พอเราซื้อตั๋วกันแล้วก็เข้ามาข้างไหนกันเลย ที่นี่จะแบ่งออกเป็นหลายๆโซนด้วยกัน บ่อน้ำพุที่เด่นเป็นหลักๆ จะมีสองบ่อค่ะ เป็นบ่อน้ำพุร้อนสีฟ้าและสีแดง สำหรับบ่อน้ำพุร้อนสีฟ้า จะอยู่ทางด้านในซึ่งเราจะต้องเดินผ่านร้านค้าเข้าไปก่อนถึงจะเจอนะคะ
พอเราเดินเข้ามาข้างในแล้วจะเจอร้านขายของฝากต่างๆ มากมายเลย แต่ว่าอันนี้เราสามารถย้อนกลับมาดูตอนขากลับได้ค่ะ เพราะฉะนั้น เดี๋ยวเราจะแวะไปดูบ่อนรกกันก่อนนะคะ แล้วค่อยกลับมาที่นี่กัน อิอิ
พอเราเดินออกมาจากร้านขายของฝาก บ่อที่เราเจอข้างในก็คือบ่อนรกสีฟ้าค่ะ อุณหภูมินี่ไม่ได้พูดถึงเลย สูงแน่นอน อย่าเอาหน้าไปเข้าใกล้นะคะ เพราะร้อนมากจริงๆ ส่วนควันจากบ่อน้ำร้อนไม่มีผลอะไรนะคะ ไม่ต้องห่วงค่า เราสามารถถ่ายรูปเก็บไว้ได้ แต่ต้องหามุมนะคะไม่งั้นควันจะฟุ้งแล้วเห็นแต่ควันไม่เห็นบ่อน้ำนะค้า
พอเราเดินขึ้นมาทางข้างหลังของบ่อน้ำร้อนสีฟ้า เราจะเห็นเสาหลักตั้งอยู่ ข้างบนจะมีศาลเจ้าเล็กๆของที่นี่ด้วยล่ะค่ะ ทุกคนสามารถเดินขึ้นไปขอพรและไหว้กันได้นะคะ แต่ก่อนที่จะขึ้นอย่าลืมแวะล้างมือล้างหน้าด้วยนะ
ก่อนที่เราจะไปบ่อนรกสีแดงที่ต่อไป เราก็จะต้องเดินกลับออกมาทางเดิมค่ะ แต่ก่อนที่เราจะกลับไปข้างหน้ากัน เราอยากจะแนะนำผลิตภัณฑ์นี้มากๆ เลยค่ะ นั่นก็คือผงฟูที่เอาไว้ใช้อาบน้ำที่บ้านค่ะ พอเราใส่ไว้ในอ่างแล้วก็จะละลายเป็นสีฟ้าแล้วให้เราแช่ตัวค่ะ ถ้าใครสนใจก็สามารถซื้อไปลองกันได้นะคะ >__< เห็นเขาบอกกันว่าเอาไปใช้แล้วสบาย แต่สีสวยจริงๆ ฮาๆๆ
นี่คือบ่อนรกสีแดง หรือว่า Mini Chinoike Jigoku บ่อนี้จะเป็นสีแดงแล้วเดือดยิ่งกว่าอันสีฟ้าซะอีก ถัดจากบ่อนรกสีแดงนี้ทางด้านขวามือ ก็จะเห็น Green House ที่ข้างในมีดอกบัวและเก็บน้ำไว้ในห้องนี้ด้วยอีกค่ะ สามารถเข้าไปชมได้
พอเราเดินลงมาอีกสักนิดนึงก็จะพบกับอีกบ่อนึง ที่เป็นศาลาพักผ่อนหรือว่า Hot Spring ไว้สำหรับแช่เท้าด้วยนะคะ ทุกคนสามารถมานั่งพักและแช่เท้าในบ่อออนเซ็นนี้ได้เลยค่ะ นับว่าเป็นการผ่อนคลายที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้ ยิ่งมาหน้าหนาวนี่ยิ่งฟินมากๆ เลยค่ะ เพราะว่าอากาศบนเขาค่อนข้างหนาว ถ้าได้มาแช่แล้วล่ะก็ โอ้โหหหห ฟินสุดๆ ไปเลย อย่าลืมลองมาแช่กันนะคะ เย้
เอาล่ะค่ะ! วันนี้ก็มาถึงที่หมายสุดท้ายแล้วสำหรับการเดินทางในวันนี้ นั่นก็คือ! Yufuin หรือ ยูฟูอิน จ้าาาาา! หลังจากออกมาจาก Umijigoku ก็ให้เดินข้ามถนนมาฝั่งตรงกันข้ามเพื่อมาขึ้นรถบัสอีกฝั่งนะคะ เพื่อที่เราจะไปหมู่บ้านยูฟูอินกัน และแน่นอนว่าอย่าลืมตั๋วที่เราซื้อ One day pass มานะคะ เพราะว่าใช้ได้ไปถึงที่นี่เลย รถบัสจะเป็นรถบัสสายไปยูฟูอินโดยตรงเลยจ้า ถ้ารถมาแล้ว ก็ขึ้นเลยยยยย ให้ไปลงสถานีปลายทางนะคะ อย่าเผลอลงก่อนน้า
พอเราเดินตรงมาเรื่อยๆ แล้วให้ข้ามถนนไปทางซ้ายมือ แล้วเดินเข้าซอยเลยนะคะ ต่อจากถนนตรงนี้ก็จะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ซึ่งร้านขายของเยอะแยะเลยค่ะ แล้วก็เป็นร้านอาหารเล็กๆ ที่ทุกคนสามารถนั่งรับประทานกันได้แบบชิวๆเลย
ตอนนี้จะขอแนะนำร้านขนม, อาหาร, ของหวานต่างๆ ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทุกๆ คน ที่มาแล้วต้องไม่พลาดอย่างแรกเลย อันนี้ก็จะเป็น เอ...จะเรียกเป็นภาษาไทยก็กลัวจะใช้คำไม่ถูกนะคะ อารมณ์ประมาณว่าข้างในจะเป็นไส้เนื้อ ไส้หมู แบบชุปแป้งทอดนะคะ บอกเลยว่าอร่อยมากๆ เป็นของขึ้นชื่อของที่ยูฟูอินเลยค่ะ คนต่อแถวเยอะมากกกก 1 ชิ้นราคา 160 เยนเท่านั้น กินตอนร้อนๆ อร่อยสุดๆ ไปเลยยยย
ต่อมาเป็นร้านซอฟต์ครีมที่ข้างล่างเป็นพุดดิ้งนะคะ อันนี้ก็อร่อยไม่แพ้ซอฟต์ครีมธรรมดาเลยล่ะค่ะ เพราะว่าไม่ว่าจะกินเป็นโคน เป็นถ้วย ก็จะมีพุดดิ้งสอดไส้เข้าไปด้วยค่ะ แถมรถชาติไอศกรีมยังมีเป็นรสน้ำผึ้งและนมสดปะปนไปด้วย อันนี้ก็ห้ามพลาดเชียวนะคะ สามารถนั่งทานที่หน้าร้านได้ค่ะ
สำหรับร้านนี้ ขารักการกินชีสจะต้องไม่พลาด!! เพราะว่าทั้งร้านนี้ขายชีสทั้งร้านเลย มีทั้งชีสเค้ก ชีสกับขนมปัง ชีสต่างๆ นาๆ มีเยอะมากกกก ใครรักการกินชีสหรือว่าชอบชีส แนะนำร้านนี้เลยค่ะ มันเรียกได้ว่าศูนย์รวมความเป็นชีสเลยก็ว่าได้ (ฮาๆๆ)
และขอแนะนำร้านนี้อีกร้านนะคะ อยากจะบอกว่า….ว่า..... ทาร์ตชีสร้านนี้ อร่อยเกินล้านมากค่ะ ยิ่งกินตอนร้อนๆๆๆ ตอนเพิ่งออกมาจากเตาอยากบอกว่า ฟินมากกกกกก 1 ชิ้นราคา 210 เยนค่ะ ถ้าจะเอาใส่กล่องกลับบ้านจะต้องซื้อ 5 ชิ้นขึ้นไปเท่านั้น ส่วนซื้อ 1 ชิ้นเขาจะใส่ถุงซีลไว้ให้เราแล้วค่ะ เราสามารถนั่งทานได้ หรือจะเก็บใส่กระเป๋าไปกินที่อื่นก็ได้ค่า แต่อย่านานมากเกินไปนะคะเพราะจะเสียรสชาติเอา (แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ กินตอนเย็นๆ ก็ยังอร่อยนะคะ)
เดินต่อมาเรื่อยๆ เราก็จะพบกับน้องหมาสนูปปี้นั่นเองงงงงงงง แน่นอนว่าน้องสนูปี๊มาในธีมชาเขียวนั่นเอง ด้านนอกจะขายเครื่องดื่มและไอศกรีมค่ะ แต่สำหรับด้านในร้านแล้วจะเป็น Snoopy Café นะคะ มีทั้งอาหาร,เครื่องดื่ม, ของหวาน และอื่นๆ ในร้านนี้นะคะ ใครที่เป็นขาชอบกินชาเขียว ก็ต้องไม่พลาดกับคาเฟ่ต์น่ารักๆ แบบนี้นะคะ บรรยากาศก็ยังดีอีกด้วย อย่าลืมแวะไปกันนะคะ หรือจะไปถ่ายรูปน้องสนูปปี๊ข้างหน้าร้านก็ยังได้นะคะ เย้ >w<
พอเดินตรงมาเรื่อยๆ ทางด้านซ้ายมือก็จะมีซอยเล็กๆ ค่ะ นั่นก็คือซอยเข้า Floral Village ซึ่งเป็นจุดไฮไลท์ในครั้งนี้ด้วยนะคะ ข้างในนี้มีทั้งร้านขายของมากมาย ชมสัตว์น่ารักๆ และแน่นอน เป็นมุมที่เหมาะกับการถ่ายรูปที่ยูฟูอินด้วยล่ะค่ะ สวยมากๆ เดี๋ยวเราจะพาไปดูบรรยากาศรอบๆ กันในนี้เลยนะคะ
หมู่บ้านยูฟุอินฟลอร์รัล (Yufuin Floral Village) เป็นหมู่บ้านจำลองสไตล์ยุโรป และเหมือนอยู่ในยุโรปโบราณ ถือเป็นไฮไลท์หนึ่งประจำเมืองยูฟุอิน ที่นี่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวจากหลายๆ ประเทศเป็นอย่างมาก เหมาะแก่การเดินเล่นและถ่ายรูปสุดๆเลยค่ะ ร้านอาหาร ร้ายขายของที่ระลึก มีเต็มท้องถนนเลย
นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของบรรยากาศที่อยากจะให้ทุกคนได้มาเดินชมกันนะคะ ถึงแม้ว่าจะเป็นซอยเล็กๆ แต่ข้างในมีร้านค้าเยอะแยะมากมายเลย แถมยังมีมุมให้เราได้เก็บภาพสวยๆ กันไปอีกด้วย พอเดินๆ แล้วท้องร้อง ใครที่อยากเก็บท้องไปรับประทานอาหารมื้อเย็น ตอนนี้เรามีร้านอาหารที่อยากจะแนะนำทุกคนด้วย
สำหรับการเดินไปซอยร้านอาหารที่เราจะพาทุกคนไป เราจะต้องเดินออกทางประตูที่เราเดินมาในตอนเข้าซอยทีแรก แล้วเดินเลี้ยวซ้ายแล้วก็เดินตรงไปเรื่อยๆ เลยนะคะ พอเราเจอร้านต่างๆ แล้วเจอหัวมุมที่มีทางโค้ง ให้เราเดินลงข้างล่างตรงนั้นไปเลยยยยย แล้วจะเห็นร้านของกินทางด้านขวาเยอะๆนั่นนะคะ ให้เราเดินลงไปเรื่อยๆเลย ให้เราเดินตามทางลงไปเรื่อยๆเลยนะคะ จะมีร้านให้สังเกตตามที่ต่างๆ ตามในรูปที่ถ่ายไว้นะคะ (ขอโทษสำหรับรูปในซอยที่ภาพเบลอนะคะ พอดีตอนนั้นเดินแล้วรีบถ่ายเฉยเลย T_____T แต่ถ้าคุ้นทางให้ดูจากตรงนี้ได้เลยนะคะ)
และแล้ววววว สำหรับร้านอาหารในมื้อเย็นนี้ ก็คือร้าน Yufu Mabushi Shin Kinrinko Honten 由布まぶし心 金鱗湖本店 ค่ะ (http://ichiba.geocities.jp/ggkbh080/) ที่ร้านอาหารนี้จะขึ้นชื่อในอาหาร 3 อย่าง
เซ็ตเนื้อไก่ เซ็ตเนื้อวัว เซ็ตเนื้อปลาไหล เพียงราคาเซ็ตละ 2,361 เยน +ภาษี ที่ร้านนี้มีวิธีการเสิร์ฟอาหารเป็นตามลำดับขั้นตอนที่เขาได้กำหนดไว้ แถมยังมีลำดับขั้นตอนในการปรุงอาหารด้วยตัวเองอีกด้วย! ร้านนี้มีเมนูภาษาอังกฤษไม่ต้องห่วงนะคะ วิธีการรับประทานต่างๆ ก็มีบอกพร้อมเลย
ก่อนอื่นเลยสิ่งที่ทางร้านจะเสิร์ฟให้ก่อนเลยคือเซตนี้ค่ะ เป็นของรองท้องกันก่อนเลย แล้วก็เป็นเซ็ตสำหรับเครื่องปรุงที่เราจะเอาไว้ใช้ปรุงอาหารกันนะคะ รสชาติก็จะมีพวก มิโสะ, วาซาบิ, โชยุ, พริกต่างๆ เราสามารถใส่ได้ตามใจชอบเลย
ก่อนอื่นขอแนะนำลำดับขั้นตอนในการใส่เครื่องปรุงและการผสมเข้าด้วยกันนะคะ สามารถดูลำดับขั้นตอนได้ตามตัวเลขที่เขียนลงบนภาพเลยน้า
จากลำดับแรกนะคะเมื่อเราได้หม้อมาแล้วก็แค่เปิดฝามันออกค่ะ เสียงนี่กำลังซู่ซ่าส์ร้อนเต็มที่
ขั้นตอนที่ 2 ให้เรานำไม้พายคลุกข้าวให้ผสมเข้าด้วยกัน
ขั้นตอนที่ 3 ให้เรานำเครื่องเคียงต่างๆ ผักที่เราชอบและรับประทานใส่เทลงไปในหม้อแล้วคลุกให้เข้ากันค่ะ
ขั้นตอนที่ 4 คลุกกันจนกว่าความร้อนจะค่อยๆ ลดลงนะคะ
ขั้นตอนที่ 5 ให้นำเครื่องปรุงที่มี ซอสมิโสะ วาซาบิ พริก โชยุ ต่างๆ ใส่ลงไปในข้าวได้เลยค่ะ รสชาติเราสามารถใส่ตามใจชอบได้เลยไม่ต้องห่วงน้า
ขั้นตอนสุดท้าย ก็คือคลุกทุกอย่างให้เข้ากันแล้วให้นำไม้พายเก็บไว้ที่เดิมแล้วใช้ช้อนอันใหญ่และตะเกียบในการรับประทานกันนะคะ! >O< และแล้วก็ออกมาเป็นแบบในรูปนี่แหล่ะค่า เย้ น่าทานใช่มั้ยล่ะคะ เนื่องจากเราทานเนื้อไม่ได้วันนี้เลยนำเสนอเป็นข้าวหน้าไก่แทน ฮาๆ
ทุกคนก็ได้รับชมกันไปแล้วนะคะ สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดโออิตะ และ ร้านอาหารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านเล็กๆ จนไปถึงร้านอาหารใหญ่ ก็อยากจะเชิญชวนทุกคนมาเที่ยวในจังหวัดนี้นะคะ ที่นี่ยังมีอะไรอีกมากมายที่คุณไม่เคยคาดคิดมาก่อน เมื่อพูดถึงเกาะที่เต็มไปด้วยธรรมชาติลอบล้อมแล้ว เกาะคิวชูก็เป็นอีกที่นึงที่สวยงามและธรรมชาติอย่างเต็มที่แน่นอน! ใครที่อยากจะสอบถามอะไรเพิ่มเติมก็สามารถสอบถามได้เลยนะคะ อย่าลืมแวะมาที่จังหวัดโออิตะกันด้วยนะค้า ><
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมของจังหวัดโออิตะ ท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
http://oita.namjai.cc
http://th.visit-oita.jp/
อ้อ ลืมบอกไปว่าการท่องเที่ยวในโออิตะยังไม่จบเพียงเท่านี้ เราติดตามตอนต่อไปได้เร็วๆ นี้จ้า