ตามติดชีวิตสาวโรงงานในญี่ปุ่น

สวัสดีค่ะ วันนี้อยากจะมาแชร์ประสบการณ์การเป็นสาวโรงงานในญี่ปุ่น ว่าใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง การทำงานในโรงงานต้องทำอะไรกันบ้าง

หลังจากอยู่ญี่ปุ่นมาได้ 1 ปี และรับงานมาทำที่บ้านที่เขาเรียกว่า "ไนโชวกุ" ก็เริ่มอยากหางานทำจริงๆจังๆแล้ว เพราะรับงานมาทำที่บ้านรายได้น้อยมากๆถ้าเทียบกับแรงและเวลาที่เสียไป



จนเพื่อนแนะนำให้มาลองสมัครงานโรงงานที่เพื่อนทำอยู่ ตอนแรกก็กลัวๆ เพราะภาษาเรายังไม่ค่อยได้ ตอนเขาโทรมาเรียกให้ไปสัมภาษณ์ก็ตื่นเต้นมากพูดผิดๆถูกๆ ยิ่งวันไปสัมภาษณ์ยิ่งตื่นเต้นหนักกว่า เพราะเป็นครั้งแรกที่ต้องพูดคุยกับคนญี่ปุ่นเพื่อให้ได้งาน เขาถามประวัติส่วนตัวเยอะมาก เราก็ตอบเท่าที่เราเข้าใจ ในที่สุดเขาก็รับเราเข้าทำงาน

โรงงานที่เราทำเป็นโรงงานตรวจคุณภาพขวดแก้วเครื่องสำอางค์แบรนด์เนม เช่น ชิเชโด้  SK-2 และอีกหลายๆยี่ห้อที่ส่งไปขายทั่วโลก ลักษณะงานคือ เราต้องตรวจขวดทุกขวด ว่าอยู่ในสภาพดีหรือเปล่า มีแตก มีร้าวที่ไหนบ้าง ตัวหนังสือที่พิมพ์ชัดเจนดีไหม เป็นงานที่ละเอียดมาก ต้องใช้สายตาอย่างมาก และตรวจวันๆหนึ่งเป็นพันๆหมื่นๆขวด



ในโรงงานแบ่งเป็นหลายฝ่าย จะแยกออกเป็นฝ่ายช่างพิมพ์ ก็จะพิมพ์อย่างเดียว และฝ่ายตรวจก็จะตรวจอย่างเดียว พอช่างพิมพ์เสร็จก็จะนำขวดที่พิมพ์แล้วไปใส่เตาเผาขนาดใหญ่ คนที่มีหน้าที่นำขวดใส่เตาเผาก็จะใส่ขวดทั้งวัน ไม่ต้องทำอย่างอื่น มีหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิเตาเผา และวางขวดลงบนสายพานที่ค่อยๆเลื่อนเข้าไปในเตาเผา ผ่านพัดลมที่เป่าให้เย็น แล้วถึงจะเป็นหน้าที่เราในการตรวจขวดที่เผาเรียบร้อยแล้ว



เราจะเล่าในส่วนที่เราทำงานคือฝ่ายตรวจคุณภาพของขวด เราต้องตรวจขวดทุกขวดทีละขวดอย่างละเอียด เพื่อดูว่ามีตรงไหนชำรุด และต้องแยกหมวดหมู่ว่าขวดไหนเสียที่ตรงไหน เช่น ขวดที่แตกก็อยู่รวมกับขวดที่แตก ขวดที่พิมพ์เสียก็อยู่กับขวดที่พิมพ์เสีย เป็นต้น ซึ่งขั้นตอนทั้งหมดที่กล่าวมา เราต้องทำด้วยความรอบคอบและรวดเร็ว เพราะสายพานมันเลื่อนอยู่ตลอดเวลา ถ้าทำไม่ทันมันก็จะมากระจุกรวมตัวกัน ทำให้เกิดรอยขึ้นได้ หรือตกลงพื้น ถ้าทำไม่ทันจริงๆเราก็สามารถกดปุ่มหยุดได้ แต่ถ้าไม่จำเป็นจริงๆเขาจะไม่ให้หยุด เพราะมันเสียเวลา เราต้องทำงานแข่งกับเวลา เพราะเวลาแม้เพียงนาทีเดียวก็สำคัญ เขาเลยไม่ให้หยุด เราต้องพยายามทำให้ทัน



แต่ข้อเสียของการต้องทำให้ทันทำให้เร็วคือ การที่ถูกลูกค้าเคลมกลับมา เพราะเจอขวดที่ชำรุด เลยเคลมให้บริษัทชดใช้ค่าเสียหาย บริษัทเราโดนบ่อยมาก บางครั้งในหนึ่งเดือนโดนหลายรายการเลย น่าเห็นใจเจ้าของเหมือนกันที่ต้องรับผิดชอบเป็นจำนวนเงินที่เยอะพอสมควร เราแปลกใจว่าขวดที่ส่งไปมีเป็นพันเป็นหมื่นขวด แต่ทำไมเขาสามารถตรวจพบขวดที่ชำรุดเพียงไม่กี่ขวด และภายในเวลาไม่นาน นอกจากเขาจะนำไปให้ที่อื่นตรวจอีกครั้ง นี่เป็นผลจากที่ต้องทำงานแข่งกับเวลา เลยทำให้บางทีเกิดการผิดพลาด

และที่ญี่ปุ่น เรื่องความไว้วางใจนี่มาเป็นอันดับหนึ่ง ถ้าเราทำผิดพลาดแล้ว เขาจะไม่ไว้วางใจเราอีก เช่น ลูกค้าเจอขวดที่ชำรุด นอกจากจะเคลมเอาเงินแล้ว เขาก็จะส่งกลับมาให้ตรวจใหม่ทั้งหมดโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย และอาจเลิกจ้างเราไปเลย เพราะไม่ไว้วางใจ

งานที่เราทำได้ค่าแรงเริ่มต้นที่ 870 เยน ตอนนี้ทำมา 7 ปีแล้วขยับเป็น 1,100 เยนแล้ว แต่ถือว่าน้อยถ้าเทียบกับค่าแรงขั้นต่ำของโตเกียวที่เริ่มต้น 1,013 เยน

ที่เรายังทำงานที่โรงงานนี้ เพราะที่นี่เราสามารถเลือกได้ว่าจะทำวันไหน เวลาไหน และทุกปีเราสามารถขอลาหยุดหนึ่งเดือนช่วงลูกปิดเทอมฤดูร้อนเพื่อกลับไทยได้ ที่นี่ดีอย่างตรงที่เวลาสามารถยืดหยุ่นได้ ถึงแม้งานจะหนักแค่ไหน แต่เราก็อดทนได้ จนถึงวันนี้เรามีความชำนาญมากขึ้น ภาษาก็ดีขึ้นจากที่นี่ ถ้าใครที่มีวีซ่าแล้วอยากทำงานที่ไม่ต้องใช้ภาษามากนัก ลองสมัครงานโรงงานอย่างเราดูก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวนะคะ

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ