จากที่เราพาเที่ยวเกียวโต Part I แล้ว เราก็กลับมาเริ่มต้นที่สถานี เป้าหมายที่จะเก็บให้หมดเป็นลำดับนี้ตามก็คือ
ว่าแล้วก็ไปกันเลย
เริ่มจากสถานีเกียวโตที่เราอยู่ เดินไปยัง Shichijo Station ประมาณ 5 นาที เพื่อนั่งสายสีแดง Keihan Main Line จาก Shichijo Station (KH37) ไปยัง Kiyomizu-Gojo Station (KH38)
มาถึงแล้ว วัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera) เมื่อเข้ามาเราจะได้เห็น สถาปัตยกรรมโบราณที่งดงาม จนยูเนสโกได้บันทึกให้วัดแห่งนี้ขึ้นเป็นมรดกโลกกันเลย ซึ่งที่มาของชื่อวัดน้ำใสก็มาจากการที่วัดแห่งนี้นั้นได้ถูกสร้างขึ้น แล้วได้มีน้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากน้ำตกโอโตวะ (Otowa Waterfall) ไหลผ่านตัววัดนั่นเอง ซึ่งจุดที่ถือว่าเป็นไฮไลท์การท่องเที่ยวของที่นี่ก็คงไม่พ้น อาคารไม้เก่าแก่ขนาดใหญ่ที่แค่เห็นก็ตระการตา แล้วเพราะการสร้างทั้งหมดนี้ไม่มีการใช้ตะปูเลย และโถงอาคารถูกสร้างให้ยื่นออกไปภายนอกทำให้บริเวณนี้เป็นจุดชมวิวที่สวยงาม มองเห็นเมืองเกียวโตในฤดูต่างๆ และเป็นจุดชมซากุระและชมใบไม้แดงที่ขึ้นชื่อของเกียวโตอีกด้วย ผู้เขียนได้ไปช่วงใบไม้แดงตอนปลายๆพอดี เลยพอเห็นอยู่บ้างแต่น่าเสียดายที่อาคารอยู๋ระหว่างซ่อมแซม ซึ่งจะเสร็จสมบรูณ์ในปี ค.ศ. 2020 ไว้ต้องไปอีกรอบ
เริ่มจากเดินกลับไปยังสถานี Kiyomizu-Gojo Station (KH38) ประมาณ 5 นาที เพื่อนั่งสายสีแดง Keihan Main Line จาก Kiyomizu-Gojo Station (KH38) ไปยัง Gion-Shijo Station (KH39) แล้วไปนั่งรถบัสสาย 12 หรือ 59 ต่อประมาณ 40 นาที ไปลงป้าย Kinkakujimae Bus Stop ซึ่งจอดหน้าวัดคินคะคุจิเลย
วัดคินคะคุจิ (Kinkaku-ji) เมื่อเราก้าวเข้ามาในโซนของปราสาทถึงต้องกับตะลึงกับกับความสวยงามของตัวปราสาทที่ถูกแสงกระทบระยิบระยับ สะท้อนกับน้ำในทะเลสาบ และสวนสไตล์ญี่ปุ่น จากสถาปัตยกรรมที่งดงามนี้จึงทำให้ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกให้เป็นมรกดโลกอีกเช่นกัน
เริ่มจากนั่งรถบัสสาย 12 หรือ 59 กลับไปยังสถานี Gion-Shijo Station เพื่อนั่งสายสีแดง Keihan Main Line จาก Gion-Shijo Station (KH39) ไปยัง Fushimi-Inari Station (KH34) แล้วเดินต่อประมาณ 3 นาที ก็จะถึงศาลเจ้า
ศาลเจ้าเทพเจ้าจิ้งจอกอินาริ (Fushimi Inari Shrine) เป็นศาลเจ้าที่มีความสำคัญแห่งหนึ่งของเมืองเกียวโต ศาลเจ้านี้มีชื่อเสียงโด่งดังจากประตูโทริอิ (Torii Gate) หรือเสาประตูสีแดงที่เรียงกันด้านหลังศาลเจ้าจำนวนมากมายจนเป็นทางเดินทั่วทั้งภูเขาอินาริ ซึ่งต่างเชื่อกันว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ของเทพอินาริซี่งเป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ การเก็บเกี่ยวข้าว รวมไปถึงพืชผลไร่นาต่างๆ และมักจะมีจิ้งจอกเป็นสัตว์คู่กาย เราจึงเห็นรูปปั้นจิ้งจอกอยู่จำนวนมากภายในศาลเจ้านั่นเอง ถ้าเหนื่อยแล้วก็ยังมีร้านอาหารท้องถิ่นและร้านขายของที่ระลึกให้ช๊อปปิ้งกันอีกด้วย แต่มาถึงก็ค่ำเเล้วเดินได้ไม่มากเท่าไหร่
ซึ่งทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของเกียวโตจังหวัดที่เป็นแหล่งวัฒนธรรมของญี่ปุ่น แล้วมาติดตามกันต่อว่าบทความหน้าจะพาไปเที่ยวที่ไหนกัน ... ^^
- วัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera)
- วัดคินคะคุจิ (Kinkaku-ji)
- ศาลเจ้าเทพเจ้าจิ้งจอกอินาริ (Fushimi Inari Shrine)
ว่าแล้วก็ไปกันเลย
เริ่มจากสถานีเกียวโตที่เราอยู่ เดินไปยัง Shichijo Station ประมาณ 5 นาที เพื่อนั่งสายสีแดง Keihan Main Line จาก Shichijo Station (KH37) ไปยัง Kiyomizu-Gojo Station (KH38)
แล้วเดินชมบรรยากาศข้างทางต่อประมาณ 30 นาที ไปยังวัดคิโยะมิซุ
มาถึงแล้ว วัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera) เมื่อเข้ามาเราจะได้เห็น สถาปัตยกรรมโบราณที่งดงาม จนยูเนสโกได้บันทึกให้วัดแห่งนี้ขึ้นเป็นมรดกโลกกันเลย ซึ่งที่มาของชื่อวัดน้ำใสก็มาจากการที่วัดแห่งนี้นั้นได้ถูกสร้างขึ้น แล้วได้มีน้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากน้ำตกโอโตวะ (Otowa Waterfall) ไหลผ่านตัววัดนั่นเอง ซึ่งจุดที่ถือว่าเป็นไฮไลท์การท่องเที่ยวของที่นี่ก็คงไม่พ้น อาคารไม้เก่าแก่ขนาดใหญ่ที่แค่เห็นก็ตระการตา แล้วเพราะการสร้างทั้งหมดนี้ไม่มีการใช้ตะปูเลย และโถงอาคารถูกสร้างให้ยื่นออกไปภายนอกทำให้บริเวณนี้เป็นจุดชมวิวที่สวยงาม มองเห็นเมืองเกียวโตในฤดูต่างๆ และเป็นจุดชมซากุระและชมใบไม้แดงที่ขึ้นชื่อของเกียวโตอีกด้วย ผู้เขียนได้ไปช่วงใบไม้แดงตอนปลายๆพอดี เลยพอเห็นอยู่บ้างแต่น่าเสียดายที่อาคารอยู๋ระหว่างซ่อมแซม ซึ่งจะเสร็จสมบรูณ์ในปี ค.ศ. 2020 ไว้ต้องไปอีกรอบ
หลังจากเดิมชมความสวยงามของวัดและใบไม้เปลี่ยนสีแล้วเราจะรีบไปต่อกันที่ปราสาททองคำของท่านโชกุน
เริ่มจากเดินกลับไปยังสถานี Kiyomizu-Gojo Station (KH38) ประมาณ 5 นาที เพื่อนั่งสายสีแดง Keihan Main Line จาก Kiyomizu-Gojo Station (KH38) ไปยัง Gion-Shijo Station (KH39) แล้วไปนั่งรถบัสสาย 12 หรือ 59 ต่อประมาณ 40 นาที ไปลงป้าย Kinkakujimae Bus Stop ซึ่งจอดหน้าวัดคินคะคุจิเลย
วัดคินคะคุจิ (Kinkaku-ji) เมื่อเราก้าวเข้ามาในโซนของปราสาทถึงต้องกับตะลึงกับกับความสวยงามของตัวปราสาทที่ถูกแสงกระทบระยิบระยับ สะท้อนกับน้ำในทะเลสาบ และสวนสไตล์ญี่ปุ่น จากสถาปัตยกรรมที่งดงามนี้จึงทำให้ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกให้เป็นมรกดโลกอีกเช่นกัน
เมื่อเดินวนและช็อปปิ้งของที่ระลึกกันเสร็จแล้วเราก็จะต้องรีบไปต่อกันที่ศาลเจ้าเทพเจ้าจิ้งจอกอินาริ เนื่องจากเวลาเริ่มเย็นมากแล้ว
เริ่มจากนั่งรถบัสสาย 12 หรือ 59 กลับไปยังสถานี Gion-Shijo Station เพื่อนั่งสายสีแดง Keihan Main Line จาก Gion-Shijo Station (KH39) ไปยัง Fushimi-Inari Station (KH34) แล้วเดินต่อประมาณ 3 นาที ก็จะถึงศาลเจ้า
ศาลเจ้าเทพเจ้าจิ้งจอกอินาริ (Fushimi Inari Shrine) เป็นศาลเจ้าที่มีความสำคัญแห่งหนึ่งของเมืองเกียวโต ศาลเจ้านี้มีชื่อเสียงโด่งดังจากประตูโทริอิ (Torii Gate) หรือเสาประตูสีแดงที่เรียงกันด้านหลังศาลเจ้าจำนวนมากมายจนเป็นทางเดินทั่วทั้งภูเขาอินาริ ซึ่งต่างเชื่อกันว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ของเทพอินาริซี่งเป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ การเก็บเกี่ยวข้าว รวมไปถึงพืชผลไร่นาต่างๆ และมักจะมีจิ้งจอกเป็นสัตว์คู่กาย เราจึงเห็นรูปปั้นจิ้งจอกอยู่จำนวนมากภายในศาลเจ้านั่นเอง ถ้าเหนื่อยแล้วก็ยังมีร้านอาหารท้องถิ่นและร้านขายของที่ระลึกให้ช๊อปปิ้งกันอีกด้วย แต่มาถึงก็ค่ำเเล้วเดินได้ไม่มากเท่าไหร่
ซึ่งทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของเกียวโตจังหวัดที่เป็นแหล่งวัฒนธรรมของญี่ปุ่น แล้วมาติดตามกันต่อว่าบทความหน้าจะพาไปเที่ยวที่ไหนกัน ... ^^