วันนี้เราจะมา ล่า ท้า ผี กันที่ญี่ปุ่นกันค่ะ ไม่ใช่ๆ วันนี้เราจะพามาชมเกาะฮาชิมะกันค่ะ ใครเคยได้ยินชื่อเกาะนี้ ขอเสียงหน่อยย เกาะฮาชิมะที่คนไทยรู้จัก มีอีกชื่อเรียกในภาษาญี่ปุ่นว่า Gunkanjima ซึ่งมีความหมายว่าเกาะเรือรบ เพราะรูปร่างเกาะเหมือนเรือรบค่ะ เกาะนี้ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดนางาซากิ ส่วนหนึ่งของเกาะคิวชูทางตอนใต้ของญี่ปุ่น
หลายคนอาจจะรู้จักเกาะนี้จากภาพยนตร์ไทยที่ชื่อ Hajima project หรือภาพยนตร์เกาหลีที่ชื่อ The Battleship Island ใช่มั้ยล่ะคะ เพื่อนๆรู้ไหมว่า นอกจากเกาะนี้จะขึ้นชื่อเรื่องความหลอน เพราะเป็นเกาะร้างไร้ผู้คนแล้ว จริงๆเกาะนี้เป็นสัญลักษณ์ของยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมเมจิของประเทศญี่ปุ่นด้วยนะคะ โดยในช่วงปี 1960 เกาะนี้ถือเป็นที่ๆมีความหนาแน่นของประชากรมากที่สุดในโลกเลยทีเดียว นอกจากนั้นหลายๆคนที่เคยดูเรื่อง The Battleship island คงจะทราบกันแล้วล่ะสิ ว่าเกาะนี้ยังเป็นอีกหนึ่งอนุสรณ์ถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ที่นักโทษชาวเกาหลีและจีนถูกส่งตัวมาใช้แรงงานที่เหมืองถ่านหินอย่างทารุณด้วยค่ะ ด้วยเหตุนี้ กว่าเกาะนี้จะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในมรดกโลกในปี 2015 ทางญี่ปุ่นต้องจ่ายค่าชดเชยปฏิกรณ์สงครามให้ฝั่งเกาหลีไปเยอะเลยล่ะเพราะฉะนั้น เริ่มเข้าใจรึยังคะว่าทำไมเราถึงต้องลองไปซักครั้งในชีวิต
เกาะนี้ห่างจากแผ่นดินมากพอสมควรเลยค่ะ โดยจะมี 3 บริษัทที่จะเดินเรือไปยังเกาะนี้ ราคาไปกลับจะประมาณ 4,500¥ หรือประมาณหนึ่งพันสองร้อยบาทค่ะ และที่สำคัญต้องจองก่อนเท่านั้นและตอนจองเราจะต้องลงชื่อยอมรับความเสี่ยงว่าหากสภาพอากาศไม่ดีเรือไม่สามารถเทียบท่าได้ ในกรณีนั้นเราจะได้รับค่าเข้าเกาะ 310¥ คืน และเรือจะได้แค่วนรอบเกาะแล้วกลับค่ะ เราเลือกบริษัท Gunkanjima conceirge ค่ะ เหตุผลง่ายๆเลยเพราะเค้าเป็นเจ้าของเดียวกับพิพิธภัณฑ์ Gunkanjima Digital museum เราสามารถซื้อตั๋วไปเกาะกับเข้าชมพิพิธภัณฑ์ในราคาที่ถูกลงเยอะเลย รวมค่าขึ้นเกาะอีกเป็น 5,710¥ มันอาจจะดูราคาสูงไปหน่อย แต่เราถือว่ามันคุ้มค่ะ
โดยวันนึงจะมีเรือออกสองรอบคือ 10.00 กับ 13.00 ควรมาถึงก่อนซัก 20 นาทีนะคะ วิธีเดินทางมาท่าเรือก็คือนั่งรถรางต่อมาลงที่สถานี Ourakaidori Street 20 นาทีจากสถานีนางาซากิค่ะ ตั๋วที่ได้ก็จะเป็นแบบนี้
ส่วนนี่คือท่าเรือค่ะ
นี่คือเรือโดยสารค่ะ มีสองชั้น นั่งได้ประมาณ 40 คน เรารู้เพราะเค้าจะติดสติ๊กเกอร์เลขประจำตัวทุกคนเอาไว้เลยค่ะ ส่วนถ้าใครเมาเรือแนะนำให้นั่งชั้นหนึ่งค่ะ มันจะโคลงเคลงน้อยกว่า ระหว่างทางจะมีวิทยากรแนะนำตลอดค่ะว่าฝั่งขวาเคยเป็นเครนที่สูงที่สุดของญี่ปุ่น ฝั่งซ้ายเป็นอู่ต่อเรือช่วงสงคราม ก่อนออกปากอ่าวเรือก็จะช้าๆให้เราดูสองฝั่งทาง แต่พอออกทะเลจริงๆนั่นแหละ คลื่นเริ่มมาแล้ว ถ้าสงสัยว่าเราเล่าตรงนี้ละเอียดทำไม ใช่ เราเป็นคนเมาเรือง่ายค่ะ ง่ายแบบมากๆ และขนาดเรากินยาแก้เมามาแล้ว…ก็ยังเกือบแย่ค่ะ แต่เจ้าหน้าที่เค้าก็น่ารักมากเลยนะ ถามเราว่ากินยารึยัง เอาลูกอมมาให้ เอาขนมมาให้ เอาถุงพลาสติกมาให้ด้วย555 ที่สำคัญคือเค้าพูดภาษาอังกฤษกันได้ดีเลยทีเดียว
ข้อควรระวัง! เช็คอากาศมาให้ดีก่อนจองนะคะ ถ้าวันไหนอากาศดีๆคนจะจองเต็มเร็ว แล้วอย่าคิดว่าคนญี่ปุ่นไม่มากันนะคะ นี่ขนาดเราจองไปวันคริสต์มาสคนยังเกือบเต็ม วันที่เราไปไม่ได้มีฝนหรือพายุอะไรนะ เรือจอดเทียบท่าขึ้นเกาะได้ แต่ลมแรงมาก แรงแบบสุดๆ ยิ่งช่วงก่อนถึงเกาะนี่คลื่นแรงมากก คนที่ปกติไม่เมารถยังมึนกันเลย อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เวียนหัวง่ายก็คงเป็นเพราะช่วงนี้ต้องสวมหน้ากากอนามัยอยู่ตลอดเวลาด้วยแหละ ตอนเท้าเหยียบพื้นเกาะนี่ดีใจสุดๆไปเลย
เราสามารถเดินชมได้เฉพาะทางที่เค้าจัดไว้ให้เท่านั้นนะคะ ด้วยความที่โครงสร้างตึกต่างๆค่อนข้างเก่าจึงอาจจะเกิดอันตรายได้ค่ะ แต่ในระหว่างทางก็จะมีวิทยากร(คนเดิมจากบนเรือ) อธิบายความเป็นมาของแต่ละตึก
ในความรู้สึกเราอ่ะนะ ไม่ได้สัมผัสได้ถึงความลี้ลับอะไร แต่การมองตึกร้างไร้ผู้คนที่เรียงรายกันมาหลายสิบปีก็หลอนเหมือนกันนะ
บางครั้งเราก็รอให้คนอื่นเดินไปหมดก่อนเพื่อที่จะถ่ายรูป พอเงียบๆไม่มีคนแล้วมันก็…จับกลุ่มก็อุ่นใจกว่าแหละค่ะ555
พอกลับมาถึงฝั่ง เราก็ไปพิพิธภัณฑ์กันต่อจ้าา ซึ่งคำว่า Digital museum ของเค้าก็สมชื่อจริงๆนะ ทันสมัยมาก ส่วนอื่นๆของเกาะที่เราไม่สามารถเข้าไปได้ ก็มี VR ให้เราเล่น เหมือนตัวเองกำลังเดินอยู่ที่นั่นจริงๆเลย
ใครที่ชอบเรื่องลี้ลับ เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ หรืออยากหาที่เที่ยวใหม่ๆ แหวกแนวในญี่ปุ่น อย่าลืมลองมาเที่ยวเกาะฮาชิมะกันนะคะ รับรองว่ามันจะเป็นประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืมเลย เราไม่ได้บอกว่ามันไปง่ายนะ มันมีความยุ่งยากกว่าที่อื่นอยู่แต่ก็ไม่ใช่ว่าไปไม่ได้ เหล่า dark tourist ห้ามพลาดเลยนะ