สวัสดีค่ะทุกคน ทุกคนวันนี้คือวันที่สามซึ่งเป็นวันสุดท้ายของทริปเราในอากิตะแล้ว เริ่มชินกับความหนาวกันแล้วใช่มั้ยคะ ดีเลยค่ะ เพราะวันนี้เราจะพามาถ่ายภาพท่ามกลางความหนาวกันค่ะ~ และเนื่องจากวันนี้เน้นถ่ายภาพแล้ว อย่าลืมพกกล้องมากันด้วยนะคะ ใครสายภาพวิวควรพกเลนส์ที่เก็บภาพได้กว้างหน่อยก็ดีนะคะ เพราะว่าระยะถอยค่อนข้างแคบนิดนึงค่ะ ส่วนใครสายแฟชั่นก่อนจะเดินไปตามเรา ขอเชิญแวะไปที่ร้านเช่ากิโมโนก่อนค่ะบรรยากาศมันได้จริง ๆ
ที่จริงที่นี่มีร้านเช่ากิโมโนที่ดังมาก สามารถเช่าใส่ได้ 1 วัน โดยมีคนช่วยในการแต่งตัวให้ด้วยค่ะ รับรองว่าได้ภาพสวย ๆ กับอาคารบ้านเรือนแบบญี่ปุ่นโบราณเข้ากั๊นเข้ากันค่ะ~ แต่วันที่เราไปนั้นร้านไม่เปิดค่ะ (ฮ่า) เพราะฉะนั้นไม่มีภาพตัวอย่างนะคะ
ที่เมืองมาสุดะในอากิตะถือเป็นอีกที่ที่ถูกบอกต่อกันว่าเป็นสถานที่ที่มีหิมะตกหนาตาที่สุดติดอันดับในญี่ปุ่นเหมือนกันค่ะ และก็สมคำล่ำลือเพราะว่าพอมาถึงพวกเราก็ถูกเวลคั่มด้วยหิมะหนาตาอย่างที่เห็น และก่อนที่จะเดินไปนั้นเราสามารถที่จะรับแผนที่การเดินเยี่ยมชมสถานที่นี้ได้ที่ Travel Information ด้านหน้าสุดค่ะ ในแผนที่ก็จะมีบอกตั้งแต่แนะนำสถานที่ไปจนถึงจุดเด่นของอาคารที่นี่นั่นก็คือ โกดังอุจิกุระ (โกดังด้านในบ้าน) ค่ะ และเนื่องจากโกดังอุจิกุระ นั้นเป็นโครงสร้างที่ค่อนข้างจะพิเศษ และบางสถานที่หลังโกดังอุจิกุระ ก็ยังเป็นความลับของทางเจ้าของบ้านอยู่ ในแผนที่จึงจะมีบอกไว้ชัดเจนเลยค่ะว่าเราสามารถจะเข้าชมภายในของโกดังอุจิกุระ ไหนได้บ้าง (อย่างไรก็เคารพกติกาความเป็นส่วนตัวกันด้วยนะคะ)
ในเมืองนี้จะมีโครงสร้างที่เรียกว่าเป็นโกดังอุจิกุระ อยู่กว่า 50 ที่เลยค่ะ แต่เนื่องจากว่าเรามีเวลาค่อนข้างจำกัดวันนี้เราก็ไม่สามารถที่จะเก็บภาพทุกที่มาฝากได้เพราะฉะนั้นหากใครไป ก็รับรองได้ว่า สวย ๆ กว่าที่เราเลือกมาอวดวันนี้ก็ยังมีให้ชมแน่นอนค่ะ
และเราก็มากันที่หลังแรกเลย House of Tasaburo ค่ะ ตอนเราเดินเข้าไปภายนอกร้านก็เป็นเหมือนกับร้านบ้านธรรมดาทั่วไป มีโซนรับแขก โซนติดต่อเหมือนบ้านญี่ปุ่นสมัยโบราณทั่วไป พอเดินเลยเข้าไปหน่อยก็เจอกับบ่อน้ำอนุรักษ์แบบโบราณที่เขายังเก็บเอาไว้อย่างดี
ห้องรับแขกที่อยู่หลังประตู ตรงบานเลื่อนซ่อนช่องแอบส่องเอาไว้ด้วย
บ่อน้ำอนุรักษ์
และเราก็เจอสิ่งนี้ค่ะ
และนี่คือโกดังอุจิกุระ ค่ะ! ใช่แล้วมันคือโครงสร้างประตูที่ซ้อนกันหลายชั้นของญี่ปุ่นนั่นเอง เห็นเป็นชั้น ๆ แบบนี้อาจจะมองไม่ออก ให้ลองนึกภาพเวลาประตูบานนี้ปิดนะคะ เราก็จะเห็นเป็นแค่ประตูบานใหญ่สุดธรรมดาใช่มั้ยคะ จะไม่มีทางรู้เลยว่าด้านในเป็นโกดังอุจิกุระ เพราะฉะนั้นในสมัยก่อนนู้น เราไม่มีทางรู้ได้เลยค่ะว่าบ้านไหนมีโกดังอุจิกุระ บ้านไหนไม่มี... พอเห็นโครงสร้างแบบนี้ก็รู้สึกคุ้นตาใช่มั้ยคะว่ามันคืออะไร... เอาล่ะ ให้เวลาคิดค่ะ
ปิ๊งป่อง!
ใช่ค่ะ มันเหมือนตู้เซฟในปัจจุบันใช่มั้ยล่ะคะ~ และมันก็ทำหน้าที่นั้นค่ะ ในสมัยที่ยังไม่มีเทคโนโลยีแสกนใบหน้า และธุรกิจครอบครัวยังเป็นธุรกิจหลักที่ไม่ขายทอดเข้าตลาดหุ้น (จริง ๆ ธุรกิจในญี่ปุ่นก็ยังคงเป็นระบบธุรกิจครอบครัวจนถึงปัจจุบันนะคะ) กลับมาต่อกันค่ะ! ตู้เซฟ เอ้ย โกดังอุจิกุระ เนี่ยก็จะมีแต่คนในครอบครัวเท่านั้นที่รู้ว่าอยู่ที่ไหนและเปิดอย่างไร... และข้างในมีอะไร (เราแทบกรี๊ด ชอบความลึกลับอะไรแบบนี้)
เล่าต่อ! ไม้ที่เป็นโครงสร้างของที่นี่เนี่ยก็จะเป็นไม้เนื้ออ่อนค่ะ ที่จริงไม้เนื้ออ่อนเนี่ยมันน่าจะผุผังเร็วใช่มั้ยคะ แต่ว่าที่นี่ด้วยโครงสร้างกึ่งปิดตายของโกดังอุจิกุระ และเทคนิคการสร้างแบบพิเศษแล้ว เขาใช้ไม้เนื้ออ่อนเป็นคานบ้านค่ะ เรานี่เอามือกุมหัวเลย กลัวมันร่วงลงมา (ฮ่า) แต่เมืองนี้อ่ะเนอะ ไม้ต้นใหญ่ เฟอร์นิเจอร์ไม้... ยอมใจค่ะ ใครสายคลั่งงานไม้นี่ต้องมา ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงจริง ๆ และ... ร้านแรกห้ามถ่ายภาพข้างบนนะคะ '[]') มันเป็นความลับ ต้องไปดูเองในนั้นจะมี.... /(0w0) ไม่สปอล์ยละกันค่ะ
มาต่อกันค่ะ~ อ่า ที่นี่น่ะ ไม่เปิดฮีตเตอร์นะคะ แต่งกายให้แน่นหนา แปะไคโระไปด้วยเพราะข้างในคือหนาวทุกร้านเลยค่ะ 'w') และนี่ก็คือภาพจากร้านที่สองค่ะ
ร้านนี้เองก็มีทั้งข้าวของแบบโบราณและโครงสร้างโกดังอุจิกุระ ที่ต่างไปค่ะ อย่างที่นี่ หลังโกดังอุจิกุระ ก็เป็นส่วนคล้ายชั้นลอยที่สามารถมองเห็นร้านแรกได้ค่ะ
วันนี้ขอหนักรูปหน่อยนะคะ เพราะไม่รู้ว่าจะบรรยายได้มากแค่ไหน (ฮ่า) เราไปต่อกันที่ร้านถัดไปเลยค่ะ เราขอเสนอร้านยาแบบโบราณของเมืองนี้ ชื่อร้าน Murata ค่ะ
และเราก็เดินมาต่อกันที่บ้านของช่างปั่นฝ้าย ซึ่งข้างหลังของบ้านหลังนี้นั้นจะมีจุดที่เป็นสวนสนและสวนบอนไซ ที่ตอนนี้ถูกหิมะถม และเราสามารถที่จะถ่ายภาพจากสวนตรงนี้ได้ด้วยค่ะ
มาต่อกันอีกร้านค่ะ นี่น่าจะเป็นที่สุดท้ายแล้วนั่นก็คือโรงกลั่นสาเกของอากิตะค่ะ
และหลังจากที่เราเดินถ่ายภาพกันจนเสร็จแล้ว (แต่รอบนี้เราไม่ได้เข้าทุกร้านนะคะ) เราก็ได้ออกมาเห็นสิ่งนี้ค่ะ
เป็นคามาคุระที่คุณไกด์วันนี้ทำไว้ให้พวกเราที่ข้างหน้า Information Center ค่ะ น่ารักมากเลยเนอะ นอกจากเมืองที่เป็นมิตรกับสายวินเทจสโลว์ไลฟ์แล้ว ที่นี่ยังเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนน่ารักๆ อีก! เอาเป็นว่าเราขอมาร์คไว้ในใจเลยว่ารอบหน้าเราจะมาที่นี่อีก และให้เวลากับโซน Masuda นี้สัก 1 วันเต็ม ๆ ไปเลยค่ะ นอกจากจะมีบรรยากาศน่าเดินเล่น วัฒนธรรมอนุรักษ์แล้ว มุมถ่ายภาพสวย ๆ ก็ยังเต็มไปหมดเลยนะคะ 'w')/ ใครแวะไปอากิตะ เราว่าตรงนี้ไม่ธรรมดาเลยค่ะ! ต้องไปให้ได้นะคะ
ที่จริงที่นี่มีร้านเช่ากิโมโนที่ดังมาก สามารถเช่าใส่ได้ 1 วัน โดยมีคนช่วยในการแต่งตัวให้ด้วยค่ะ รับรองว่าได้ภาพสวย ๆ กับอาคารบ้านเรือนแบบญี่ปุ่นโบราณเข้ากั๊นเข้ากันค่ะ~ แต่วันที่เราไปนั้นร้านไม่เปิดค่ะ (ฮ่า) เพราะฉะนั้นไม่มีภาพตัวอย่างนะคะ
ที่เมืองมาสุดะในอากิตะถือเป็นอีกที่ที่ถูกบอกต่อกันว่าเป็นสถานที่ที่มีหิมะตกหนาตาที่สุดติดอันดับในญี่ปุ่นเหมือนกันค่ะ และก็สมคำล่ำลือเพราะว่าพอมาถึงพวกเราก็ถูกเวลคั่มด้วยหิมะหนาตาอย่างที่เห็น และก่อนที่จะเดินไปนั้นเราสามารถที่จะรับแผนที่การเดินเยี่ยมชมสถานที่นี้ได้ที่ Travel Information ด้านหน้าสุดค่ะ ในแผนที่ก็จะมีบอกตั้งแต่แนะนำสถานที่ไปจนถึงจุดเด่นของอาคารที่นี่นั่นก็คือ โกดังอุจิกุระ (โกดังด้านในบ้าน) ค่ะ และเนื่องจากโกดังอุจิกุระ นั้นเป็นโครงสร้างที่ค่อนข้างจะพิเศษ และบางสถานที่หลังโกดังอุจิกุระ ก็ยังเป็นความลับของทางเจ้าของบ้านอยู่ ในแผนที่จึงจะมีบอกไว้ชัดเจนเลยค่ะว่าเราสามารถจะเข้าชมภายในของโกดังอุจิกุระ ไหนได้บ้าง (อย่างไรก็เคารพกติกาความเป็นส่วนตัวกันด้วยนะคะ)
ในเมืองนี้จะมีโครงสร้างที่เรียกว่าเป็นโกดังอุจิกุระ อยู่กว่า 50 ที่เลยค่ะ แต่เนื่องจากว่าเรามีเวลาค่อนข้างจำกัดวันนี้เราก็ไม่สามารถที่จะเก็บภาพทุกที่มาฝากได้เพราะฉะนั้นหากใครไป ก็รับรองได้ว่า สวย ๆ กว่าที่เราเลือกมาอวดวันนี้ก็ยังมีให้ชมแน่นอนค่ะ
และเราก็มากันที่หลังแรกเลย House of Tasaburo ค่ะ ตอนเราเดินเข้าไปภายนอกร้านก็เป็นเหมือนกับร้านบ้านธรรมดาทั่วไป มีโซนรับแขก โซนติดต่อเหมือนบ้านญี่ปุ่นสมัยโบราณทั่วไป พอเดินเลยเข้าไปหน่อยก็เจอกับบ่อน้ำอนุรักษ์แบบโบราณที่เขายังเก็บเอาไว้อย่างดี
ห้องรับแขกที่อยู่หลังประตู ตรงบานเลื่อนซ่อนช่องแอบส่องเอาไว้ด้วย
บ่อน้ำอนุรักษ์
และเราก็เจอสิ่งนี้ค่ะ
และนี่คือโกดังอุจิกุระ ค่ะ! ใช่แล้วมันคือโครงสร้างประตูที่ซ้อนกันหลายชั้นของญี่ปุ่นนั่นเอง เห็นเป็นชั้น ๆ แบบนี้อาจจะมองไม่ออก ให้ลองนึกภาพเวลาประตูบานนี้ปิดนะคะ เราก็จะเห็นเป็นแค่ประตูบานใหญ่สุดธรรมดาใช่มั้ยคะ จะไม่มีทางรู้เลยว่าด้านในเป็นโกดังอุจิกุระ เพราะฉะนั้นในสมัยก่อนนู้น เราไม่มีทางรู้ได้เลยค่ะว่าบ้านไหนมีโกดังอุจิกุระ บ้านไหนไม่มี... พอเห็นโครงสร้างแบบนี้ก็รู้สึกคุ้นตาใช่มั้ยคะว่ามันคืออะไร... เอาล่ะ ให้เวลาคิดค่ะ
ปิ๊งป่อง!
ใช่ค่ะ มันเหมือนตู้เซฟในปัจจุบันใช่มั้ยล่ะคะ~ และมันก็ทำหน้าที่นั้นค่ะ ในสมัยที่ยังไม่มีเทคโนโลยีแสกนใบหน้า และธุรกิจครอบครัวยังเป็นธุรกิจหลักที่ไม่ขายทอดเข้าตลาดหุ้น (จริง ๆ ธุรกิจในญี่ปุ่นก็ยังคงเป็นระบบธุรกิจครอบครัวจนถึงปัจจุบันนะคะ) กลับมาต่อกันค่ะ! ตู้เซฟ เอ้ย โกดังอุจิกุระ เนี่ยก็จะมีแต่คนในครอบครัวเท่านั้นที่รู้ว่าอยู่ที่ไหนและเปิดอย่างไร... และข้างในมีอะไร (เราแทบกรี๊ด ชอบความลึกลับอะไรแบบนี้)
เล่าต่อ! ไม้ที่เป็นโครงสร้างของที่นี่เนี่ยก็จะเป็นไม้เนื้ออ่อนค่ะ ที่จริงไม้เนื้ออ่อนเนี่ยมันน่าจะผุผังเร็วใช่มั้ยคะ แต่ว่าที่นี่ด้วยโครงสร้างกึ่งปิดตายของโกดังอุจิกุระ และเทคนิคการสร้างแบบพิเศษแล้ว เขาใช้ไม้เนื้ออ่อนเป็นคานบ้านค่ะ เรานี่เอามือกุมหัวเลย กลัวมันร่วงลงมา (ฮ่า) แต่เมืองนี้อ่ะเนอะ ไม้ต้นใหญ่ เฟอร์นิเจอร์ไม้... ยอมใจค่ะ ใครสายคลั่งงานไม้นี่ต้องมา ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงจริง ๆ และ... ร้านแรกห้ามถ่ายภาพข้างบนนะคะ '[]') มันเป็นความลับ ต้องไปดูเองในนั้นจะมี.... /(0w0) ไม่สปอล์ยละกันค่ะ
มาต่อกันค่ะ~ อ่า ที่นี่น่ะ ไม่เปิดฮีตเตอร์นะคะ แต่งกายให้แน่นหนา แปะไคโระไปด้วยเพราะข้างในคือหนาวทุกร้านเลยค่ะ 'w') และนี่ก็คือภาพจากร้านที่สองค่ะ
ร้านนี้เองก็มีทั้งข้าวของแบบโบราณและโครงสร้างโกดังอุจิกุระ ที่ต่างไปค่ะ อย่างที่นี่ หลังโกดังอุจิกุระ ก็เป็นส่วนคล้ายชั้นลอยที่สามารถมองเห็นร้านแรกได้ค่ะ
วันนี้ขอหนักรูปหน่อยนะคะ เพราะไม่รู้ว่าจะบรรยายได้มากแค่ไหน (ฮ่า) เราไปต่อกันที่ร้านถัดไปเลยค่ะ เราขอเสนอร้านยาแบบโบราณของเมืองนี้ ชื่อร้าน Murata ค่ะ
และเราก็เดินมาต่อกันที่บ้านของช่างปั่นฝ้าย ซึ่งข้างหลังของบ้านหลังนี้นั้นจะมีจุดที่เป็นสวนสนและสวนบอนไซ ที่ตอนนี้ถูกหิมะถม และเราสามารถที่จะถ่ายภาพจากสวนตรงนี้ได้ด้วยค่ะ
มาต่อกันอีกร้านค่ะ นี่น่าจะเป็นที่สุดท้ายแล้วนั่นก็คือโรงกลั่นสาเกของอากิตะค่ะ
และหลังจากที่เราเดินถ่ายภาพกันจนเสร็จแล้ว (แต่รอบนี้เราไม่ได้เข้าทุกร้านนะคะ) เราก็ได้ออกมาเห็นสิ่งนี้ค่ะ
เป็นคามาคุระที่คุณไกด์วันนี้ทำไว้ให้พวกเราที่ข้างหน้า Information Center ค่ะ น่ารักมากเลยเนอะ นอกจากเมืองที่เป็นมิตรกับสายวินเทจสโลว์ไลฟ์แล้ว ที่นี่ยังเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนน่ารักๆ อีก! เอาเป็นว่าเราขอมาร์คไว้ในใจเลยว่ารอบหน้าเราจะมาที่นี่อีก และให้เวลากับโซน Masuda นี้สัก 1 วันเต็ม ๆ ไปเลยค่ะ นอกจากจะมีบรรยากาศน่าเดินเล่น วัฒนธรรมอนุรักษ์แล้ว มุมถ่ายภาพสวย ๆ ก็ยังเต็มไปหมดเลยนะคะ 'w')/ ใครแวะไปอากิตะ เราว่าตรงนี้ไม่ธรรมดาเลยค่ะ! ต้องไปให้ได้นะคะ