ดินแดนแห่งศรัทธา ศาลเจ้า YASUKUNI

พบกันอีกครั้งกับ ไท ตะลอน ครับ สำหรับการเดินทางของผม ผมเลือกที่จะค้นหาแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่ได้เป็นแหล่งท่องเที่ยวกระแสหลักของคนไทย หรือที่คนไทยรู้จักกันน้อย ในโตเกียวยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายที่คนไทยยังไม่ค่อยรู้จักกัน และเนื่องด้วยผมชอบอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ประเทศญี่ปุ่น จึงสนใจแหล่งท่องเที่ยวที่มีความเกี่ยวพันกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสาสตร์เป็นหลัก เพราะที่นั่นเราสามารถสัมผัสวิถีแห่งญี่ปุ่นได้อย่างชัดเจนลึกซึ้ง
.....หนึ่งในหมุดหมายที่ตั้งใจเอาไว้ว่าไปญี่ปุ่นต้องไปให้ได้ คือ สถานที่ที่เปรียบเสมือนศูนย์รวมจิตวิญญาณแห่งวิถีชาวญี่ปุ่น ที่เรามักเรียกกันว่า " วิถีบูชิโด" สถานที่แห่งนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความเป็นลูกพระอาทิตย์ และยังเป็นสถานที่แห่งกรณีพิพาทกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างจีนและเกาหลีอยู่เนืองๆ สถานที่ที่ผมกำลังกล่าวถึงคือ ศาลเจ้า YASUKUNI ครับ



เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่เคยได้ยินชื่อของศาลเจ้าแห่งนี้ เพราะทุกครั้งที่บุคคลสำคัญของญี่ปุ่นไปเยือนศาลเจ้าแห่งนี้ มักมีข้อโต้แย้งอย่างรุนแรงจากจีนและเกาหลีใต้อยู่เสมอ อะไรเป็นสาเหตุแห่งความเกลียดชังระดับสูงสุดขนาดนั้น ไท ตะลอนจะค่อยๆ พาทุกท่านทำความรู้จักกับสถานที่แห่งนี้ครับ

ศาลเจ้า YASUKUNI เป็นศาลเจ้าที่ใช้เก็บป้ายวิญญาณของบุคคลผู้ได้ชื่อว่าทำคุณูปการต่อประเทศญี่ปู่น โดยเริ่มสร้างในปี คศ.1869 เพื่อเป็นสถานที่เก็บป้ายวิญญาณของเหล่าทหารหาญ และบุคคลที่ล้มตายในคราวสงครามโบชิง (ค.ศ. 1868-1869) และต่อมาได้ใช้สถานที่แห่งนี้เป็นที่เก็บป้ายวิญญาณของเหล่าทหารที่ออกรบในสมรภูมิต่างๆ จนถึงปัจจุบันมีป้ายวิญญาณมากกว่า 2 ล้านป้ายที่เก็บในศาลเจ้าแห่งนี้
และเหตุที่ศาลเจ้า YASUKUNI เป็นชนวนความขัดแย้งระหว่างญี่ปุ่น จีน และ เกาหลีใต้ เพราะ สถานที่แห่งนี้เป็นที่เก็บป้ายวิญญาณของเหล่าทหารญี่ปุ่นที่เข้าไปรุกรานจีน และ เกาหลีในช่วงทศวรรษที่ 1930 และช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ยังความเจ็บปวดแค้นเคืองฝังแน่นในใจชาวจีนและเกาหลีเป็นอย่างมาก และเมื่อมีข่าวคนสำคัญในสังคมญี่ปุ่นไปเยี่ยมเยือนศาลเจ้าแห่งนี้ ชาวจีนและเกาหลีจึงออกมาประท้วงอย่างรุนแรงเสมอ จนในที่สุด สมเด็จองค์จักรพรรดิ์แห่งญี่ปุ่นและพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ยกเลิกการเสด็จไปเยี่ยมศาลเจ้า YASUKUNI ตั้งแต่ปี 1975 เป็นต้นมา


......แล้วศาลเจ้า YASUKUNI อยู่ตรงไหน ถ้าทุกท่านเคยไปพระราชวังอิมพีเรียลของญี่ปุ่นมาแล้ว ก็จะะบอกว่า อยู่ตรงนั้นแหละครับ !!!! เพียงแต่ ศาลเจ้า YASUKUNI จะอยู่ด้านหลังของพระราชวังอิมพีเรียลครับ เราสามารถนั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่พระราชวังอิมพีเรียลก็ได้ หรือ ถ้าต้องการมุ่งตรงมายังศาลเจ้าแห่งนี้ ก็ให้นั่งรถไฟใต้ดินสาย Tokyo Metro Tozai Line, Hanzomon Line, หรือ Toei Shinjuku Line มาลงที่สถานี Kudanshita แล้วเดินต่ออีก 5 นาที หรือนั่งรถไฟใต้ดินสาย Tokyo Metro Namboku Line มาลงที่สถานี Ichigaya แล้วเดินต่ออีก 10 นาทีครับ



...... ณ ตรงด้านหน้าทางเข้า จะพบเสาโทริ อันเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาชินโตขนาดใหญ่ตั้งตระหง่าน  ไม่ไกลนัก เราก็จะเห็นรูปปั้นของนักรบซามูไรท่านหนึ่ง ท่านผู้นี้คือ โอมูระ มาซึจิโร ผู้นำกองทัพญี่ปุ่นเข้าสู่กองทัพสมัยใหม่ ผมเข้าไปถึงอนุสาวรีย์ของท่านหลังฝนตกพอดี จึงได้บรรยาการซึมๆ เศร้าๆ แต่เต็มเปี่ยมด้วยพลังภาพนี้มา


.....เมื่อเดินผ่านเสาโทริต้นใหญ่ เข้ามาจนใกล้ตัวศาลเจ้า เราก็จะผ่านซุ้มประตูที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า ชินมอน (shinmon) ครับ ณ จุดนี้ เป็นจุดที่เราจะได้เห็นการแสดงพลังแห่งศรัทธาของชาวญี่ปุ่นต่อศาลเจ้าแห่งนี้ เพราะไม่ว่าจะลูกเด็กเล็กแดง คนหนุ่มคนสาว ไปจนถึงคนแก่คนเฒ่า ทุกคนจะต้องหยุดยืน ณ ซุ้มประตู พร้อมโค้งคำนับให้ศาลเจ้ากันทุกผู้ทุกคน บ่งบองถึงวิถีและจิตวิญญาณที่ฝังแน่นในความเป็นชาวญี่ปุ่น มันมีพลังมากพอทำให้คนไทยอย่างผมต้องยืนสงบนิ่งพร้อมค้อมหัวคารวะแบบเดียวที่ชาวญี่ปุ่นทำอย่างหมดหัวใจ
.....ณ บานประตูแห่งนี้มีสัญลักษณ์แห่งประเทศญี่ปุ่นติดอยู่ นั่นคือ ดอกเบญจมาศครับ อ๊ะๆ หลายคนอาจเข้าใจว่า ดอกไม้แห่งญี่ปุ่นคือดอกซากุระมิใช่หรือ แท้ที่จริง ดอกไม้ที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของญี่ปุ่นคือดอกเบญจมาศครับ และถือเป็นตราประทับของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย จุดนี้จึงเป็นจุดถ่ายรูปสำคัญอีกแห่งในศาลเจ้าแห่งนี้



......เมื่อผ่านชินมอนมา เราก็จะมาถึงตัวศาลเจ้าครับ ศาลเจ้า YASUKUNI สร้างด้วยเหล็กมากกว่า 100,000 ตัน จึงทำให้ที่นี่เป็นศาลเจ้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นครับ ข้อควรระวังสำหรับการเยี่ยมชมศาลเจ้าคือ บางทีเค้ามีเขตจำกัดนักท่องเที่ยวครับ ไม่แน่ใจเพราะว่ามีงาน หรือ มีบุคคลสำคัญจะมา ตอนที่ผมไปอยู่ถ่ายรูปที่เสาโทริข้างหน้าและตั้งใจจะเดินเข้าไปใกล้ตัวศาลเจ้า พี่เจ้าหน้าที่เขาก็เป่านกหวีดปรี๊ดๆ เชิงห้ามไม่ให้เข้าไป จึงได้แต่เพียงเก็บภาพอยู่ห่างๆ เท่านั้น


......เพราะศาลเจ้า YASUKUNI มีพื้นที่เยอะ และมีรายละเอียดมาก ประจวบกับผมไปเอาซะเกือบค่ำใกล้ปิดแล้ว ผมจึงเลือกที่จะเข้าชมพิพิธภัณฑ์ศาลเจ้า YASUKUNI หรือที่เรียกว่า Yusukan ครับ ด้านในจะมีเรื่องราวต่างๆ ของศาลเจ้ารวมถึงเรื่องราวของผู้เสียสละในสงครามต่าง ๆ ที่ญี่ปุ่นเข้าร่วม ส่วนใหญ่จะเป็นที่รู้จักกันในชื่อ พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สงครามแห่งกองทัพญี่ปุ่น (Yushukan War Memorial Museum) ครับ ตรงนี้ต้องจ่ายบัตรเข้าชม 800 เยนครับ แต่ถ้าต้องการล่าตราประทับที่ระลึก ปั๊มลงบนพาสปอร์ตท่องเที่ยวประจำพิพิธภัณฑ์ (อันนี้คนญี่ปุ่นเค้าชอบล่ากันมาก) ราคาจะอยู่ที่ 1200 เยน ครับ


......สำหรับการจัดแสดงในชั้นแรก จะมีพวกยุทโธปกรณ์ที่สำคัญในสมัยสงครามโลกจัดแสดง สำหรับคอการบินต้องไม่พลาดที่จะชม ตัวเป็น ๆ ของเครื่องบินขับไล่แบบ A6 M5 ZERO ครับ เครื่องนี้เป็นลำจริงที่ทางญี่ปุ่นบูรณะรักษาไว้ครับ

      ส่วนหัวรถจักรอันนี้ เกี่ยวข้องกับประเทศไทยโดยตรง เพราะนี่คือ หัวรถจักรไอน้ำแบบโมกุล C-56 หมายเลข C-56-31 หัวรถจักรอันนี้เคยวิ่งรับใช้กองทัพญี่ปุ่นบนทางรถไฟสายมรณะช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนจบสงคราม จนกระทั่งในปี 1979 ทางญี่ปุ่นได้ขอซื้อกลับไปและจัดแสดงเป็นที่ระลึกถึงเหตุการณ์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ณ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ครับ
หลังจากนี้ ภายในพิพิธภัณฑ์ Yushuskan ไม่อนุญาตให้บันทึกภาพครับ เรื่องราวต่าง ๆ ภายในพิพิธภัณฑ์จะบอกเล่าเรื่องราวของนักรบ บุคคลสำคัญในสงครามต่าง ๆ แต่ทั้งหมดจัดแสดงเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่ก็ยังพอมองสิ่งของ ภาพวาดต่าง ๆ ให้เข้าใจได้ไม่ยากว่าเค้ากำลังสื่อถึงอะไร จนกระทั่งถึงส่วนจัดแสดงในพื้นที่อาคารโล่ง จะสามารถบันทึกภาพได้อีกครั้ง



......ส่วนจัดแสดงที่สามารถบันทึกภาพได้อีกจุดคือ ส่วนจัดแสดงยุทโธปกรณ์ของญี่ปุ่นที่ใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ครับ สำหรับคอประวัติศาสตร์สงคราม ที่นี่มีแต่ของร้องว้าวทั้งนั้น ตัวเด่นสุดคือ เครื่องบินจรวดอาสาตายแบบ YOKOSUKA MXY-7 Ohka มีความหมายว่า ดอกซากุระที่ผลิบาน บ่งบอกถึงการเสียสละของพวกเขานั้นงดงามประดุจดอกซากุระที่เบ่งบาน แต่ฝ่ายสหรัฐอเมริกา ให้สมญานามเครื่องบินชนิดนี้ว่า BAKA ที่แปลไว่า "ไอ้บ้า" เพราะมีแต่คนบ้าเท่านั้นสามารถทำสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว บ้าบิ่นเยี่ยงนี้ได้ เครื่องบินรุ่นนี้ประจำหน่วยบินอาสาตาย คามิกาเซ่ (KAMIKAZE) อันลือลั่นของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 เด็กหนุ่มญี่ปุ่นหลายพันคน ผู้ถูกหล่อหลอมหัวใจให้รักมาตุภูมิ กล้าทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด คือ ขับเครื่องบินพุ่งชนเรือรบของฝ่ายสหรัฐอเมริกา สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงในวิธีการสู้รบที่บ้าดีเดือดเช่นนี้ เครื่องบินจรวดอาสาตายลำที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์เป็นแบบจำลองขนาดเท่าของจริงครับ





       ห้องจัดแสดงใน YUSUKAN แบ่งออกเป็นเก้าส่วนครับ แต่ส่วนที่สร้างความจุกอกจนพูดไม่ออกคือ ส่วนจัดแสดงที่เก้าหลังจากห้องแสดงอาวุธคือ ห้องที่แสดงเรื่องราวความผูกพันระหว่างทหารผู้จากไปกับคนที่อยู่ข้างหลัง อาทิ จดหมายลาของนักบินอาสาตายเขียนถึงคนรัก จดหมายของทหารในสมรภูมิสำคัญอย่าง โอกินาวา อิโวจิมา เขียนถึงคนทางบ้านว่า อย่าเสียใจกับการจากไปของเขา และที่ถือเป็นที่สุดของห้องนี้คือ ภาพถ่ายของเราผู้จากไปที่ระบุถึงวันเดือนปีที่เสียชีวิต และ ณ ตอนนี้ พวกเขาพักผ่อนอย่างสงบในศาลเจ้า YASUKUNI แห่งนี้



ขอจบทริปการเดินทาง ศาลเจ้า YASUKUNI และ พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สงคราม YUSUKAN ด้วยภาพของ อนุสาวรีย์นักบินอาสาตาย KAMIKAZE ที่อยู่ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ YUSUKAN ครับ จะสังเกตได้ว่า ทุกวันยังมีคนนำอาหาร น้ำดื่ม ของเล่น ของใช้ แม้กระทั่ง จดหมาย !!!!! มาวางใต้ทางอนุสาวรีย์แห่งนี้ สำหรับคนญี่ปุ่น แม้ว่าใครจะบอกว่าคนเหล่านี้คือคนบ้า คนเสียสติที่ถูกใช้ให้ไปตายในสงคราม เป็นฆาตกรเลือดเย็น แต่สำหรับลูกหลานชาวอาทิตย์อุทัยแล้ว นี่คือเรื่องราวของบุคคลอันเป็นที่รัก เรื่องของ พ่อ ปู่ ลุง ตา สามี ลูกชาย ที่ออกไปทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดินเกิดและคนที่พวกเขารัก นับเป็นสถานที่ทอันทรงคุณค่าที่น่าไปเยี่ยมเยือนแห่งหนึ่งในกรุงโตเกียวครับ