พาเที่ยวยามากาตะ เมืองแห่งธรรมชาติสวยงามและเชอรี่แสนอร่อย

ทุกวันนี้ก็ต้องบอกเลยว่าชาวไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นกันเยอะมากๆ ตั๋วโปรมาทีเรียกว่ากด F5 คลิกรัวๆ กันมือไม้พันกันเลยทีเดียว ซึ่งจริงๆ ในญี่ปุ่นยังมีสถานที่ๆ น่าสนใจอีกมาก ไม่ได้มีแค่โตเกียว, โอซาก้า, ฟุกุโอกะหรือฮอคไกโดเท่านั้น ในวันนี้เราจะมาพาเที่ยวจังหวัดยามากาตะ ซึ่งอยู่ในภูมิภาคโทโฮคุกัน เอาล่ะ จะเป็นอย่างไรบ้างเรามาดูกันเลย

ยามากาตะ เป็นจังหวัดที่อยู่ในภูมิภาคโทโฮคุของประเทศญี่ปุ่น มีชื่อเสียงในเรื่องของธรรมชาติอันสวยงาม มีแหล่งนํ้าพุร้อนมากมาย สามารถเดินทางไปได้ไม่ยาก จะนั่งเครื่องมาลงโตเกียวแล้วต่อชินคันเซ็นก็ได้ หรือว่าจะนั่งเครื่องมาลงที่เซ็นไดแล้วต่อรถไฟไปก็ยังได้

ในครั้งนี้เรานั่งรถมาจากเมืองเซ็นได มาลงที่สถานียามากาตะ เมื่อมาถึงแล้วเราก็ต้อง...... กินกันก่อนล่ะเนอะ 555555 แหม่ กองทัพต้องเดินด้วยท้องนี่นา เราจะพามาทานร้านทงคัตสึที่มีชื่อเสียงในจังหวัดยามากาตะกัน ซึ่งแน่นอนว่ามันมีความพิเศษที่แตกต่างจากร้านอื่น จะเป็นอย่างไรนั้นเราไปดูกันเลย



ร้านนี้มีชื่อว่า Hirata Bokujo เป็นร้านทงคัตสึที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะว่าทางร้านเขามีฟาร์มเลี้ยงหมูเป็นของตัวเองซึ่งอยู่ในจังหวัดยามากาตะเช่นเดียวกัน ทำให้เนื้อหมูของที่นี่มีรสชาติที่อร่อยมากๆ



เนื้อหมูทีเด็ดของร้านนี้ก็คือเนื้อหมูที่มีชื่อว่า Kinkaton เป็นเนื้อหมูที่มีความนุ่มมากๆ และมีความชุ่มฉ่ำคล้ายกับเนื้อวัว อาจจะมีราคาที่ค่อนข้างสูงเล็กน้อยแต่ถ้าได้ลองชิมสักครั้งบอกเลยว่าจะต้องลืมไม่ลงเลยทีเดียวล่ะ นอกจากนั้นก็ยังมีเนื้อหมูที่มีชื่อว่า Sankenton ซึ่งมีความพรีเมียมน้อยกว่า แต่ก็มีรสชาติดีเหมือนกัน





เอาล่ะ ไม่รีรอช้า เราก็จัดมาเลยกับเซ็ตสันนอก Kinkaton มากันแบบชิ้นใหญ่จุใจเลยทีเดียว สังเกตได้ว่าเนื้อหมูจะมีความชุ่มฉ่ำมากๆ ซึ่งสามารถทานคู่กับนํ้าจิ้มทงคัตสึที่มามาให้ทั้งหมดสองสูตรได้แก่แบบธรรมดาและแบบเผ็ดได้ หรือว่าจะจิ้มกับเกลือ Moshio ที่เป็นเกลือธรรมชาติแบบพรีเมียมได้ บอกเลยว่าเนื้อหมูนุ่มมากๆ แทบไม่ต้องออกแรงเคี้ยว แถมมีความเข้มข้นและชุ่มฉ่ำของเนื้อหมูแผ่ซ่านไปทั่วปาก แทบจะเบิ้ลจานที่สองด้วย แต่ท้องไม่สามารถยัดไหวแล้ว 55555





และในช่วงที่เราได้เดินทางไปนี้ เรียกได้ว่าประจวบเหมาะมาก เพราะว่าเป็นฤดูกาลแห่งเชอรี่ หรือที่ญี่ปุ่นเรียกว่า Sakuranbo นั่นเอง ซึ่งเชอรี่ของจังหวัดยามากาตะนั้นถือได้ว่ามีคุณภาพชั้นเลิศในประเทศญี่ปุ่น พอเดินออกมาจากร้าน เราก็ได้เห็นเชอรี่วางขายกันเต็มไปหมดเลย ตอนแรกก็เกือบจะซื้อแล้ว แต่ลืมไปว่าครั้งนี้เราได้มีโอกาสได้ไปทำการค้นหาประสบการณ์โดยการเก็บเชอรี่สดๆ ทานกันในสวน ซึ่งในจังหวัดยามากาตะนั้นก็มีสวนเชอรี่มากมายนับไม่ถ้วน ฉะนั้นไปเด็ดทานกันสดๆ นี่ฟินกว่าเยอะะะะะ



สวนเชอรี่ที่มาในครั้งนี้ก็คือ Ohsho Fruit Farm เป็นสวนเชอรี่ที่มีชื่อเสียงในจังหวัดยามากาตะ มีพื้นที่ทั้งหมดถึง 6 เฮคเตอร์เลยทีเดียว แถมช่วงฤดูอื่นเขาก็มีการปลูกผลไม้อื่นๆ หมุนเวียนไปด้วย





เอาล่ะ ต่อไปเราบุกเข้าไปในสวนกันเลยดีกว่า ตอนนี้เรียกว่าเชอรี่กำลังสุกงอมพร้อมทานกันเต็มต้นเลยล่ะ เชอรี่ที่ปลูกที่นี่จะมีด้วยกันอยู่ 3 สายพันธุ์ด้วยกัน ได้แก่ Satounishiki, Benishuhou และ Napoleon โดยฤดูกาลแห่งเชอรี่นั้นจะมีระยะเวลาค่อยข้างสั้นเพียงแค่ 2 เดือนเท่านั้น ตั้งแต่ช่วงต้นเดือน 6 จนถึงเดือน 7

มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่าเชอรี่ญี่ปุ่นมันจะอร่อยกันขนาดไหนเชียว ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งแรกที่ผู้เขียนคิด 5555 เพราะเอาตรงๆ ก็คือปกติเป็นคนไม่ชอบทานเชอรี่ ก็เลยทำการเด็ดทานให้มันรู้แล้วรู้รอดกันเสียเลย



การเด็ดเชอรี่อาจจะแตกต่างจากผลไม้อื่นเล็กน้อยตรงที่ต้องเด็ดจากขั้วที่ติดกับต้นไม้ (ตอนแรกแอบเด็ดผิด 55555) จากนั้นก็ลองทานดู ก็พบว่ามันอร่อยและมีความแตกต่างจากเชอรี่ฝั่งอเมริกาอยู่มาก เพราะมันไม่มีรสฝาดแม่แต่นิดเดียว และยังมีความหวานอร่อยอีกด้วย อันนี้ต้องขออภัยเพราะว่าไม่ได้เป็นผู้สันทัดเรื่องเชอรี่เพราะไม่ชอบทาน แต่เชอรี่ของยามากาตะถึงกับทำให้คนที่ไม่ชอบเชอรี่อย่างผู้เขียนเด็ดมาทานรัวๆ ได้ แสดงว่ามันก็ไม่ธรรมดาแหละ จริงไหม 555 โดยเชอรี่แต่ละสายพันธุ์นั้นก้มีรสชาติที่แตกต่างกันพอควร อย่างเช่น Satounishiki จะมีรสหวานอมเปรี้ยวนิดๆ, Benishuhou จะมีรสเน้นหวาน และ Napoleon จะเน้นเปรี้ยวนั่นเอง





เหตุผลที่เชอรี่ในจังหวัดยามากาตะนั้นมีรสชาติที่อร่อยมากๆ นั่นก็คือสภาพภูมิอากาศและพื้นที่เพาะปลูกที่เอื้ออำนวยนั่นเอง จังหวัดยามากาตะนั้นเป็นพื้นที่แอ่ง มีอากาศร้อนในช่วงกลางวันและอากาศเย็นในช่วงกลางคืน ซึ่งหลายพื้นที่ก็ลองพยายามปลูกแล้ว แต่คุณภาพก็สู้ที่จังหวัดยามากาตะไม่ได้


คุณ Yahagi Hiromi ผู้ดูแลสวนแห่งนี้


เอาล่ะ ประทับใจกับความอร่อยของเชอรี่ยามากาตะกันไปเรียบร้อยแล้ว ต่อไปเราก็จะไป.....กินต่อ 55555555 อากาศร้อนๆ แบบนี้ก็ต้องนํ้าแข็งไสล่ะเนอะ ซึ่งร้านที่เราจะไปนั้นเป็นร้านชื่อดังขนาดที่ว่าชาวโตเกียวยังถ่อมากินถึงนี่เลยนะเออ







ร้านนี้มีชื่อว่า Ice Cafe Kosui เป็นร้านนํ้าแข็งไสที่มีประวัติน่าสนใจมาก คือเป็นร้านที่เปิดโดยเจ้าของรุ่นที่ 5 ของร้านนํ้าแข็งชื่อดังที่เปิดกิจการมาแล้วถึง 100 ปี ซึ่งจุดแข็งของร้านนี้ก็คือตัวนํ้าแข็งที่ใสสะอาดสดชื่นที่ผ่านการทำโดยเทคนิคที่สืบทอดยาวนาน ซึ่งใช้วิธีทำให้นํ้าแข็งตัวอย่างช้าๆ กินเวลาถึง 2 อาทิตย์เลยทีเดียว


ด้านข้างของร้านก็คือพื้นที่ของโรงงานนํ้าแข็งนั่นเอง




เมนูของที่นี่เลือกใช้วัตถุดิบตามฤดูกาล ทำให้ในแต่ละวันนั้นจะมีเมนูที่ไม่ซํ้ากัน และวัตถุดิบบางอย่างนั้นทางร้านก็ทำการปลูกเองเพื่อให้ได้วัตถุดิบที่มีคุณภาพดี (ขนาดเรามาเร็วแล้ว ยังขายหมดไปตั้งหลายรสแหนะ)



แต่นแต๊น!!!!! ที่เราสั่งมาก็คือ....... นํ้าแข็งไสเชอรี่นั่นเอง 5555 แหม ก็เชอรี่ของยามากาตะนั้นมันอร่อยสุดๆ ไปเลย  มากันแบบถ้วยใหญ่สะใจชนิดว่าทานคนเดียวไม่หมดแน่นอน

เอาล่ะ อิ่มท้องจนขยับแทบไม่ไหว เราไปเดินย่อยกันดีกว่าก่อนที่จะพาลขี้เกียจซะก่อน ต่อไปเราก็จะไปช็อปปิ้งกันต่อที่ห้างอิออนกันจ้า หลายคนอาจจะงงว่า เฮ้ย อิออนจะมีอะไรให้แกช็อป 555 บอกเลยว่ามีให้เลือกกันจุใจแน่นอน



ถึงแล้วจ้า กับ Aeon Tendo แห่งจังหวัดยามากาตะ เป็นห้างที่ใหญ่มากๆ จนทำเอาตะลึงไปพักใหญ่ๆ ซึ่งด้านในก็เรียกได้ว่าครบวงจรทั้งในเรื่องของการช็อปปิ้งที่มีทั้ง product ของทาง Aeon เองแล้วก็มีเหล่าบรรดาร้านดังอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็น Coach ยัน Uniqlo รวมถึงมีร้านอาหารให้เลือกอย่างจุใจ เลย เรื่องของการทำ Tax Free ก็ไม่ต้องห่วง เขามีบริการแบบครบๆ ให้คุณได้เลือกช็อปอย่างสบายใจหายห่วง








ร้านมากมายขนาดนี้ ช็อปกันให้เอียนไปข้าง อิอิ


และคืนนี้เอง เราก็ได้เข้าพักที่เรียวกังออนเซ็นที่มีชื่อว่า Hohoemi no Yado - Taki no Yu ซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่า 100 ปีและมีลูกค้าหลั่งไหลมาใช้บริการไม่หยุดหย่อนนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติเลย ซึ่งที่ยามากาตะนั้นเป็นเมืองแห่งธรรมชาติและออนเซ็น ดังนั้นขอแนะนำว่าถ้ามาเที่ยวก็ต้องเรียวกังเลยจ้า









ห้องพักนั้นเรียกได้ว่ากว้างขวางสวยงาม แบ่งย่อยออกเป็นห้องญี่ปุ่น, ห้องนอน และห้องนั่งเล่น ที่สำคัญ มีออนเซ็นในห้องด้วย เรียกได้ว่าแช่สบายๆ ไม่ต้องอายใครกันเลยทีเดียว แต่แนะนำว่ามาทั้งที ต้องสลัดความอายทิ้งไปให้หมดแล้วไปออนเซ็นส่วนกลางเลย ฟินกว่าเยอะมากๆ แต่เนื่องจากถ่ายรูปไม่ได้เลยไม่ได้มีภาพมาให้ชมกันนะจ๊ะ







ส่วนกลางของเรียวกังแห่งนี้มีการตกแต่งที่สวยงามมากๆ มีสวนให้พักผ่อนหย่อนใจแถมมีบ่อออนเซ็นเล็กๆ ให้ต้มไข่ทานได้ฟรีด้วยนะเออ นอกจากนั้นก็ยังมีพวกร้านอาหารต่างๆ, ร้านขายของฝาก อยู่ในเรียวกังด้วย ถ้างั้นขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะจ๊ะ แล้วพรุ่งนี้เราจะไปลุยกันต่อ



แต่นแต๊น ชาร์ตแบตกันเต็มที่แล้ว ในวันนี้เราไปชมความงามของดอก Benibana หรือบ้านเราเรียกว่า ดอกคำฝอย ซึ่งที่เขต Takase ของยามากาตะเขามีการปลูกทุ่งดอก Benibana ที่สวยงามมากๆ เลยล่ะ



และแล้วเราก็มาถึงที่ Takase Benibana Center เป็นศูนย์อำนวยการเกี่ยวกับการปลูกดอก Benibana ซึ่งได้ทำการปลูกและดูแลมาตั้งแต่สมัยยุคโชวะจนมีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดยามากาตะกันเลยทีเดียว



การปลูกดอก Benibana นั้นเริ่มมาตั้งแต่สมัยปีโชวะที่ 17 โดยเริ่มจากการปลูกเล่นๆ เพื่อความสวยงาม จนกระทั้งเวลาต่อมา ทางบริษัทเครื่องสำอาง Shiseido ก็ได้ติดต่อมาทำสัญญาให้ปลูกดอก Benibana เพื่อนำไปทำเครื่องสำอางค์ (ทุกวันนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่รู้เลยว่าเอาไปทำเครื่องสำอางค์ประเภทไหน ฮาาาา) จากนั้นก็เริ่มทำการปลูกแบบจริงจังมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ปีโชวะที่ 39 โดยมีผู้ปลูกและดูแลจำนวนทั้งหมด 15 คน และได้เป็นดอกไม้ประจำจังหวัดยามากาตะในปีโชวะที่ 57









ปัจจุบันการปลูกดอกคำฝอยนั้นมีทั้งหมด 150 - 200 แปลง โดยแบ่งส่วนหนึ่งสำหรับขายและส่วนหนึ่งสำหรับจัดเป็นนิทรรศการ ซึ่งความสวยงามนี้ก็ดึงดูดให้เหล่าผู้กำกับหนังหลายท่านติดต่อเพื่อขอมาเข้าชมโลเคชั่นและใช้ในการถ่ายทำด้วย



ทางเจ้าหน้านี้ได้เล่าให้เราฟังว่าการปลูกดอกคำฝอยเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก เพราะต้องใช้เวลาถึง 3 ปีด้วยกันในการทำให้มันสวย แถมต้องดูแลเป็นอย่างดีเพราะว่าต้นล้มง่ายมาก ช่วงไหนอากาศไม่ค่อยดีก็ทำให้มันออกมาไม่สวย ซึ่งบรรดาชาวเมือง Takase ต่างก็ร่วมมือร่วมใจมาช่วยปลูกให้สวยงามและคงอยู่สืบไปในฐานะดอกไม้ประจำจังหวัดนั่นเอง

ชมความสวยงามของดอกไม้ไปแล้ว ต่อไปเราจะไปวัดกันต่อ ซึ่งเป็นวัดที่ดังมากๆ ของทางจังหวัดยามากาตะ หากใครได้มาเที่ยวก็ต้องไม่พลาดเลย ซึ่งที่แห่งนี้ก็คือวัด Yamadera นั่นเอง





วัด Yamadera แห่งนี้ ตั้งอยู่ที่ภูเขาที่อยู่ด้านเหนือของตัวเมืองยามากาตะ ที่มีอายุเก่าแก่ถึง 1150 ปีมาแล้ว แต่เดิมที่แห่งมีไว้สำหรับสวดมนต์เท่านั้น แต่ในเมื่อช่วง 150 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ตั้งกฏศาสนาขึ้นมา และเปลี่ยนให้วัด Yamadera แห่งนี้เป็นวัดธรรมดาให้บุคคลทั่วไปเข้าเยี่ยมชมได้





วัดแห่งนี้มีชื่อเสี่ยงในเรื่องของการรักษา หากได้มาขอพรที่นี่เชื่อว่าจะช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยได้ โดยการขอพรและทำการสัมผัสรูปปั้นที่โถงกลางของวัด ถ้าเรากำลังเจ็บขา ก็ให้สัมผัสที่ขาของรูปปั้น





วัดแห่งนี้เป็นวัดที่ยึดถือลัทธิ Tendai ซึ่งเป็นลัทธิพุทธและเป็นหนึ่ง ใน 13 ลัทธิของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีหลักคำสอนที่คล้ายๆ กับบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำดีได้ดี, เรื่องของชีวิตหลังความตาย, คุณค่าของอาหาร รวมไปถึงการไม่สนับสนุนการทำแท้ง ซึ่งในตัววัดนั้นเราก็จะได้เห็น Ojisousan รูปเด็กที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็นที่สิงสถิตของวิญญาญเด็กที่ถูกทำแท๊งหรือเสียชีวิตและไม่ได้ไปผุดไปเกิด





เมื่อเราเดินเข้าวัดมาเรื่อยๆ เราก็จะเจอทางเดินไปสู่พื้นที่ด้านบนของวัด ซึ่งเป็นทางบันไดขึ้นเขา มีจำนวนถึง 1,000 ขั้นเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเดินจนขาลากแน่นอน แต่บอกเลยว่าคุ้มค่าต่อการเดินมากๆ เพราะอะไรน่ะหรอ ตามไปดูกันต่อเลย











หลังจากเข้าสู่เส้นทางขึ้นเขา เราก็จะได้พบกับธรรมชาติอันแสนร่มรื่นเขียวชอุ่มและมีความสวยงามเป็นอย่างมาก เป็นบรรยากาศที่เหมาะกับการสงบจิตใจมากๆ เลยทีเดียว บอกเลยว่าตอนเดินเหนื่อยมากๆ แต่ได้เห็นสิ่งสวยงามแล้วรู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลย



ระหว่างเส้นทางการเดินนั้นเราก็จะเจอป้ายหลุมศพที่มีลักษณะค่อนข้างแปลก ก็คือเป็นการสลักชื่อบนหินของภูเขา โดยชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าควรจะให้ดวงวิญญาณนั้นผักผ่อนอยู่ในที่เงียบสงบซึ่งก็คือป่าแห่งนี้นั่นเอง









เมื่อเราเดินจนถึงด้านบน เราก็จะได้เห็นอาคารวัดอีกมากมาย ซึ่งเป็นภาพที่สวยงามตรึงตาตรึงใจมากๆ และเมื่อเดินไปจนถึงด้านบนสุด ก็จะเป็นจุดชมวิวของเมืองยามากาตะที่สวยงามแล้วก็อากาศดีมากๆ  ท่านที่ชื่นชอบการเที่ยวธรรมชาติขอบอกเลยว่าไม่ควรพลาดที่จะมาวัด  Yamadera  แห่งนี้เลยล่ะ

ก่อนจะจากลากันไป เราก็มาแวะทานราเม็งกันก่อน อิอิ หลายคนอาจจะงงว่ายามากาตะเขามีชื่อเรื่องราเม็งด้วยหรอ ต้องบอกเลยว่ามีจ้า โดยราเม็งอันแสนโด่งดังของที่นี่ก็คือ ราเม็งคาระมิโสะ (มิโสะเผ็ด) นั่นเอง







ร้านราเม็งแห่งนี้มีชื่อว่า Uchouten  Evolution เป็นร้านของรุ่นที่สองที่สืบทอดกิจการจากร้าน Uchouten เมนูทีเด็ของที่ก็คือ ราเม็งคาระมิโสะ ซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของทางจังหวัดเขาล่ะ ในเมื่อขึ้นชื่อลือชาขนาดนี้ เราก็ต้องสั่งมาทานแล้วล่ะ



และนี่ก็คือ ราเม็งคาระมิโสะ จากร้าน Uchouten  Evolution ซึ่งเราได้เพิ่มหนวดปลาหมึก อาหารขึ้นชื่ออีกอย่างของจังหวัดยามากาตะเข้าไป เส้นของที่นี่จะมีลักษณะเส้นที่หนาคล้ายกับราเม็งของทางโยโกฮาม่าที่เรียกว่าอิเอเค ลวกออกมาได้กำลังดี ผนวกกับนํ้าซุปมิโสะที่มีความเข้มข้นกำลังดี ไม่จัดแล้วก็ไม่จืดจนเกินไป อร่อยมากๆ เลยทีเดียว ถ้าได้มายามากาตะ ต้องห้ามพลาดที่จะลิ้มลองราเม็งคาระมิโสะนะจ๊ะ

จริงๆ แล้วสิ่งน่าสนใจของยามากาตะยังไม่หมดเพียงเท่านั้น นี่ยังแค่จิ๊บๆ เท่านั้น เพราะช่วงฤดูหนาวของที่นี่บอกเลยว่าฟินสุดๆ คอยติดตามกันให้ดีเพราะว่าเรามีมาให้ชมแน่นอน