3 อุบัติเหตุปริศนาของรถไฟในช่วงฤดูร้อน 1949

ในช่วงฤดูร้อนปี 1949 ญี่ปุ่นมีผู้เสียชีวิต 10 รายเนื่องจากอุบัติเหตุปริศนาทั้ง 3 เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับรถไฟ Japan National Railways (JNR) โดยการเสียชีวิตของบุคคลสำคัญของ JNR เกิดจากการตกรางรถไฟถึง 2 ครั้ง สร้างความตกใจให้กับคนในประเทศจนเกิดเป็นข่าวลือต่าง ๆ นานาเกี่ยวกับสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุนี้ แต่เกือบ 7 ทศวรรษที่ผ่านมาก็ยังหาเบาะแสไม่ได้เลย

สถานการณ์ก่อนเกิดอุบัติเหตุ (The Background)


ทั้ง 3 เหตุการณ์เกิดขึ้นระหว่างการยึดครองญี่ปุ่นของฝ่ายสัมพันธมิตรระหว่างปี 1945 - ปี 1952 ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งความขัดแย้งที่ยังคงมีอิทธิพลต่อการเมืองญี่ปุ่นในปัจจุบัน เป็นยุคที่ เดวิด พีซ นักเขียนชาวอังกฤษเลือกที่จะเขียนวรรณกรรม Tokyo Trilogy ของเขาโดยมีเล่มจบชื่อเรื่อง Redux ที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคดีการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่สถานี JNR คุณ ซาดาโนริ ชิโมะยามะ ซึ่งคาดว่าจะพิมพ์จำหน่ายในปี 2019

 

“ถ้าหากต้องการเข้าใจคนญี่ปุ่นสมัยนั้นล่ะก็นะ ผมเชื่อว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องเข้าใจประวัติศาสตร์ของการปกครอง และประวัติศาสตร์นั้นมีความหมายอย่างไรสำหรับทั้งผู้ถูกยึดและผู้ครอบครอง” เดวิด พีซ กล่าวกับ นิตยสารTW 

“6 ปี 7 เดือนและ 28 วันนั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงในทุกแง่มุมของชีวิตในญี่ปุ่น มรดกของการเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นปรากฏชัดทุกครั้งที่เปิดข่าวของ NHK ดูการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญในการควบคุมของรัฐสภาหรือพิจารณานโยบายต่างประเทศของญี่ปุ่น”

 

ภายใต้การบัญชาการของจอมพล ดักลาส แมกอาร์เธอร์ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่ายสัมพันธมิตร(SCAP) ในช่วง 2 ปีแรกของการยึดครองมุ่งเน้นไปที่การปลอดทหารและกำจัดอดีตศัตรูของอเมริกา พวกชาตินิยมถูกกวาดล้าง การปฏิรูปที่ดินถูกนำมาใช้และการปราบปรามไซบัตสึ (กลุ่มธุรกิจผูกขาด) ก็ถูกปราบปราม นอกจากนี้ ยังมีการนำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่กำหนดให้สมเด็จพระจักรพรรดิอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและห้ามมีกองกำลังทหาร


 

ช่วงปลายปี 1947 ฝ่ายสัมพันธมิตรและพรรคเสรีประชาธิปไตยกังวลว่า วิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังแผ่ขยายในญี่ปุ่นอาจกระตุ้นให้เกิดการปฏิวัติที่นำโดยคอมมิวนิสต์ เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในสหภาพโซเวียตและจีน ซึ่งการที่พรรคคอมมิวนิสต์ญี่ปุ่น(JCP) ได้ที่นั่งในรัฐสภาจาก 4 ที่นั่งเป็น 35 ที่นั่งในการเลือกตั้งเดือนมกราคม ทำให้ความกังวลเหล่านี้รุนแรงขึ้น การเปลี่ยนแปลงนโยบายที่รู้จักกันในนามการย้อนคืน ส่งผลให้พนักงานภาครัฐสูญเสียสิทธิ์ในการลางาน สหภาพแรงงานมีอำนาจต่อรองน้อยลง และการปฏิรูปไซบัตสึให้เป็นกลายเป็นระบบการกำกับดูแลกิจการที่เรียกว่า เคอิเระสึ (keiretsu)

 

ในปี 1949 นายธนาคารชาวอเมริกันและที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจหลังสงคราม โจเซฟ ดอดจ์ ได้กำหนดระบอบการปกครองของความเข้มงวดของกระทรวงการคลัง เพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาและสร้างความสมดุลให้กับงบประมาณ เช่นเดียวกับการลดรายจ่ายสาธารณะและการขึ้นภาษีสิ่งที่เรียกว่า Dodge Line ยังเรียกร้องให้ลดจำนวนพนักงานของรัฐลงอย่างมาก หนึ่งในสถานประกอบการแห่งแรกที่ได้รับผลกระทบคือ JNR เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พนักงานรถไฟกว่า 30,000 คน ถูกปลดออกจากงาน และในคืนต่อมาได้พบศพคุณ ซาดาโนริ ชิโมะยามะ 

 

1.อุบัติการณ์ชิโมะยามะ (The Shimoyama Incident)

หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ คุณชิโมะยามะ ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นประธานคนแรกของ JNR ด้วยความขยันความหมั่นเพียรของเขา ทำให้เขาเป็นที่รู้จักในจังหวัดเฮียวโกะ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องปฏิบัติตามคำสั่งของสำนักงานใหญ่ ที่จะต้องสั่งปลดพนักงาน มิหนำซ้ำยังโชคร้ายซ้ำสองด้วยเรื่องสุขภาพ และยังได้รับจดหมายข่มขู่อีกด้วย เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากรายชื่อพนักงานที่ถูกปลดได้ประกาศออกมา เขาก็ไม่ได้เข้าร่วมการประชุมสำคัญ 

ในเวลา 09.37 น. ของวันที่ 5 กรกฎาคม คุณชิโมะยามะได้ลงจากรถและได้บอกให้คนขับรถรอเขาอยู่ด้านนอกห้างสรรพสินค้ามิตสึโกชิของนิฮงบาชิ จากนั้นก็ไม่มีใครสามารถติดต่อเขาได้ โดยมีคนอ้างว่าพบเห็นบุคคลที่มีลักษณะคล้ายเขาในระหว่างวันด้วย แต่เมื่อเวลา 00.30 ของวันที่ 6 กรกฎาคม ได้มีการพบศพของ คุณชิโมยามะ บนรางรถไฟของ Joban Line ระหว่างสถานี Kita-Senju และ Ayase ทางตอนเหนือของโตเกียว



เหตุการณ์นี้เป็นการฆาตกรรมหรือ คุณชิโมะยามะ กระโดดตัดหน้ารถไฟฆ่าตัวตายกันแน่? ผลการชันสูตรในที่เกิดเหตุของ แพทย์ชินโนะสุเกะ ยาโซะชิมะ ระบุว่าผู้ตายเสียชีวิตก่อนี่จะถูกรถไฟชน บ้างก็เชื่อว่าเขาถูกฆ่าโดยกลุ่มหัวรุ่นแรงฝ่ายซ้ายเพื่อเป็นการแก้แค้น บ้างก็บอกว่าเป็นจัดฉากของเจ้าหน้าที่อเมริกันที่ต้องการสร้างความเสื่อมเสียให้กับขบวนการคอมมิวนิสต์ การสืบสวนของตำรวจยังคงไม่สามารถระบุสาเหตุการตายที่แน่ชัดของผู้เสียชีวิตได้ และต่อมาในปี 1964 คดีก็ได้หมดอายุความลง

 

“มันคือเหตุการณ์สำคัญของคนในสายอาชีพนี้ เพราะไม่ว่าใครจะเชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุ การฆาตกรรมหรือการฆ่าตัวตาย ผลที่ตามมาของการเสียชีวิตของเขานั้นลึกซึ้งกว่ามาก”เดวิด พีซกล่าวว่า “ การต่อต้านทางการเมืองของกลุ่มหัวรุนแรงฝ่ายซ้ายและการเคลื่อนไหวของสหภาพแรงงานในญี่ปุ่นลดลงอย่างมาก และต่อมา มันได้กระตุ้นกระแสต่อต้านอเมริกันอย่างรุนแรงซึ่งดำเนินมานานหลายทศวรรษ โดยผลที่ตามมาคือ - ความยากจนของการต่อต้านทางการเมืองและความอ่อนแอของสหภาพแรงงาน - ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้”

2.มิทากะตกราง (The Mitaka Derailment)



2 สัปดาห์ต่อมา หลังจากการเสียชีวิตของคุณชิโมะยามะ ตำรวจได้มีการสืบสวนคดีเกี่ยวกว่ารถไฟอีกครั้ง เมื่อตอนเย็นของวันที่ 15 กรกฎาคม รถไฟในรุ่นโมเดล63 ซึ่งเป็นรถไฟแบบไร้คนขับได้ขับเข้าสู่สถานีมิทากะก่อให้เกิดการเสียชีวิตทั้งหมด 6 ราย และบาดเจ็บอีกกว่า 20 ราย ตามมาด้วยการเลิกจ้าง JNR ระลอกที่สอง (ราว 63,000) ในสัปดาห์เดียวกันนั้น ผู้คนกล่าวต่างกล่าวโทษพนักงานรถไฟทั้งหมดและสร้างความไม่พอใจให้กับประชากรทั่วประเทศพนักงานรถไฟ 10คนถูกจับและถูกตั้งข้อหาว่าก่อวินาศกรรมรถไฟทำให้คนอื่นถึงแก่ความตาย แต่หนึ่งใน 10 คนนั้นเป็นคนของ JCP

 

ชายแปลกหน้าผู้ที่คุมคือคุณ เคซุเกะ ทาเคอุจิ ซึ่งยอมรับว่ากระทำความผิดและตามคำให้การของบุคคลที่สามเขาอยู่ในห้องอาบน้ำ JNR ส่วนกลางในขณะที่เกิดเหตุ แต่ไม่มีพยายานหลักฐานยื่นในการพิจารณาคดี ต่อมาในปี 1955 คุณ ทาเคอุจิได้ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ (หลังจากถูกจำคุกตลอดชีวิต) เนื่องจากคำสารภาพของเขา ผู้พิพากษาตัดสินว่าเขาได้วางแผนและดำเนินการทุกอย่างด้วยตัวเอง ส่วนจำเลยคนอื่น ๆ ทั้งหมดได้พ้นผิด

 

ในบทความของ Japan Times ปี 2010 ทนายความชื่อโชจิ ทาคามิซาวะ ได้กล่าวว่าคำสารภาพของทาเคอุจิ ว่า “มันคือความรู้สึกสิ้นหวังท่ามกลางการสอบสวนที่รุนแรง ยืดเยื้อและบีบบังคับโดยอัยการ” ที่ผ่านมาตำรวจในญี่ปุ่นถูกกล่าวหาว่าทรมานทั้งร่างกายและจิตใจเพื่อให้จำเลยยอมรับความรับผิดต่ออาชญากรรม หลายคนรับสารภาพ เวลาต่อมาเมื่อขึ้นศาล คุณ ทาเคอุจิเรียกร้องความบริสุทธิ์ของเขาทุกครั้ง ก่อนที่จะเสียชีวิตลงภายในคุกด้วยโรคเนื้องอกในสมองในปี 1967 ต่อให้คดีของเขาถูกปิดลงแล้วก็ตาม ก็ยังเป็นเรื่องที่ลืมไม่ลง  ลูกชายได้เสนอเรื่องนี้กับทาคามิซาวะที่จะผลักดันคดีให้มีการพิจารณาคดีอีกครั้ง

 

3.การตกรางมัตสึคาวะ (The Matsukawa Derailment)


การตกรางครั้งใหญ่ครั้งที่ 2 ในปี 1949 เกิดขึ้นเมื่อกลางเดือนสิงหาคมพบบุคคลากรรถไฟเสียชีวิต 3 ราย เมื่อรถจักรไอน้ำ C511 ได้เกิดพลิกคว่ำระหว่างสถานีคานายากาวะและสถานีมัตสึกาวะในจังหวัดฟุกุชิมะ จากการตรวจสอบอุบัติเหตุพบว่าน็อตและสลักเกลียวที่ข้อต่อรางถูกคลายออกและมีการถอดรางรถไฟออก บุคคลากรของ JNR 10 คน และของโรงงานโตชิบาอีก 10 คน ได้ถูกฟ้องร้อง ทางตำรวจได้ใช้กลยุทธ์ในการบีบบังคับนำไปสู่ความผิด 20 ข้อ โดยผู้ต้องหา 5 คน ได้ถูกตัดสินประหารชีวิต แต่หลังจากการพิจารณาครั้งที่ 2 ได้ลดเหลือเพียง 4 คน



นักเขียนนวนิยายชื่อคาซุโอะ ฮิโระสึ ได้ออกมาเขียนปกป้องผู้ก่อวินาศกรรมที่ถูกกล่าวหาอย่างเด็ดเดี่ยวในสิ่งพิมพ์ของเขา Izumi e no Michi (The Road to Spring) และ Matsukawa Saiban (The Matsukawa Trial) รวมทั้งการเป็นผู้นำกลุ่มสนับสนุนพลเมืองของพวกเขา เขาได้ร่วมงานกับบุคคลสำคัญทางวรรณกรรมที่มีชื่อเสียงหลายคนรวมถึง คุณยาสุนาริ คาวาบาตะ ผู้ได้รับรางวัลโนเบลที่มีความพยายามอย่างหนักจนจนสามารถเปิดโปงการทุจริตของตำรวจและอัยการเรื่องของหลักฐานและการบังคับให้รับสารภาพ ในปี 1961 จำเลยทั้งหมดจึงพ้นโทษที่ศาลสูงของเซ็นได โดยคำตัดสินสิ้นสุดลงในอีก 2 ปีต่อมา

 

“ ด้วยความอยุติธรรมของมัตสึคาวะเป็นผลมาจากสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนั้น” ซึ่งมาซายูกิ อิเบะศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยฟุกุชิมะกล่าวว่า “ เมื่อได้พูดคุยกับผู้ต้องหาและครอบครัวของพวกเขาหลายคน ผมมีความรู้สึกซาบซึ้งมากสำหรับการสนับสนุนที่พวกเขาได้รับ อย่างไรก็ตามยังคงมีความโกรธกับวิธีที่พวกเขาได้รับการปฏิบัติจากตำรวจโดยเฉพาะอย่างยิ่งการซักถามที่รุนแรงและการทำร้ายร่างกายที่ผิดกฎหมาย ตอนนี้ทุกอย่างได้รับการพิสูจน์แล้วว่าพวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิด

 

ที่มหาวิทยาลัยฟุกุชิมะเรามีห้องที่มีเอกสารมากกว่า 100,000 ฉบับ ที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ที่ต้องเก็บรักษาไว้เพื่อแสดงให้คนรุ่นหลังเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น” หลายคนเชื่อว่าผู้ต้องหาที่ถูกจับจากเหตุการณ์อุบัติเหตุรถไฟตกรางที่มิทากะและมัตสึคาวะนั้น ถูกกล่าวหาโดยฝ่ายสัมพันธมิตรและรัฐบาล เพื่อใส่ร้ายพรรคคอมมิวนิสต์ ที่มีความคิดเห็นต่าง จึงทำให้พนักงานต้องตกงานจากอุบัติเหตุรถไฟตกราง และเบื้องหลังที่แท้จริงของเหตุการณ์นี้ก็ยังคงเป็นปริศนาต่อไป

 

 

 

ที่มา www.tokyoweekender.com