Kyoto 1 Day ตะลุย!! กิน...เที่ยวครบในวันเดียว

ถ้าไปท่องเที่ยวในแถบคันไซ เชื่อว่าเกียวโตก็ต้องเป็นอีกจุดหมายปลายทางที่อยู่ในแพลนของใครหลายๆคน เพราะว่าไปง่ายและเดินทางสะดวก วันนี้เราเลยมาแชร์แพลนของเราที่เพิ่งไปมาล่าสุดกันค่ะ

เราใช้ตั๋วของ Hankyu Tourist Pass 1 day ในการเดินทางครั้งนี้ค่ะ เริ่มแรกเลยคือเราพักที่นัมบะ ต้องนั่งใต้ดินสาย Midosuji มาลงที่สถานี Umeda ก่อน แล้วค่อยเดินมาเปลี่ยนเป็นสาย Hankyu-Kyoto ที่สถานี Osaka-Umeda มาลงที่สถานี Katsura เพื่อเปลี่ยนไปสาย Hankyu-Arashiyama มาลงที่สถานี Arashiyama ค่ะ ดูเหมือนเปลี่ยนสายเยอะ แต่บอกเลยว่าเดินทางง่ายมากค่ะ

ภายในขบวนรถไฟของสายฮังคิว


ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 1 ชั่วโมงก็ถึงแล้วค่ะ





จากหน้าสถานีก็เดินตรงมาเรื่อยๆได้เลยค่ะ จะเจอกับภูเขาลูกกวาดและสะพานเพื่อข้ามมาฝั่งป่าไผ่











ต้องบอกว่าเรามาเช้ามากกก เช้าขนาดที่ยังไม่มีร้านไหนเปิดเลยทีเดียว



แผนที่บริเวณอาราชิยาม่าค่ะ



ถึงแล้วจ้า ทางเข้าไปป่าไผ่ แต่ก่อนที่จะไปป่าไผ่ เราจะเดินไปที่ศาลเจ้าโนโนมิยะ ก่อนค่ะ




ศาลเจ้าโนโนมิยะขึ้นชื่อมากๆสำหรับคนโสดที่จะมาขอคู่หรือคนที่มีแฟนแล้วอยากแต่งงานแล้ว ซึ่งแน่นอนส่วนใหญ่จะเห็นนักเรียน หรือ นักท่องเที่ยวผู้หญิงมาเยอะพอสมควรเลย ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานของเทพเจ้าโนโนมิยะ ไดโคคุเทน ที่เชื่อว่าเป็นเทพเจ้าในเรื่องของการจับคู่ และอีกสิ่งที่สำคัญคือ หินคาเมะอิชิ ที่เชื่อกันว่าหากได้จับหินนี้แล้วขอพร 1 ข้อ จะเกิดผลภายในเวลา 1 ปี  ที่นี่มีโอมาโมริขึ้นชื่อเรื่องความรักด้วยค่ะ แถมลายก็น่ารัก แต่เพราะเรามาเช้าไป ไมโกะที่ดูแลตรงส่วนนี้ยังไม่เปิดทำการขายเลย เสียดายมากๆ






จากนั้นเราก็เดินมาต่อที่ป่าไผ่กันค่ะ ขนาดมาเช้า คนยังเยอะพอสมควรเลย









ตรงนี้ตอนกลางคืนจะเปิดไฟด้วย เราถ่ายตรงบริเวณที่จะขึ้นรถราง Randen ค่ะ




หลังจากจบตรงป่าไผ่ เราก็เดินมาขึ้นรถราง Randen เพื่อไปตลาดนิชิกิกัน มาลงที่สถานี Shijo Omiya แล้วต่อรถไฟสายฮังคิวมาอีก 1 สถานี จากสถานี Omiya มาลงที่สถานี Karasuma



แต่ก่อนไปตลาด เรามาแวะวัด Rokkakudo กันก่อนค่ะ วัดนี้เอกลักษณ์คือเจดีย์รูปทรงหกเหลี่ยม ในภาษาญี่ปุ่น Roku แปลว่า 6 บางคนเชื่อว่าทรงหกเหลี่ยมเชื่อมโยงกับความบริสุทธิ์ของประสาทสัมผัสทั้งหก มีตำนานเล่าขานกันว่า ตอนที่จักรพรรดิคันมู มีรับสั่งให้ขยับตำแหน่งวัดออกไปเพื่อเปิดที่ให้กับการก่อสร้างถนนสายสำคัญ วิหารต่างๆของวัดมีการเคลื่อนย้ายตำแหน่งเองอย่างน่าอัศจรรย์ วัดนี้เป็นที่นิยมในบรรดาคนท้องถิ่นมากว่าหนึ่งพันปีเลยนะคะและที่สำคัญชาวญี่ปุ่นยังนิยมมาขอพรเรื่องความรักจากต้นวิลโลว์ที่นี่อีกด้วย เชื่อกันว่าถ้าผูกคำอธิษฐานบนกิ่งของต้นวิลโลว์ คนที่กำลังมีความรักก็จะครองคู่กันอย่างราบรื่น คนโสดก็จะสมหวังกับคนที่ถูกใจ แถมอาโอโมริที่นี่ก็น่ารักมากๆเลยค่ะ















จากนั้นเราก็เดินจากวัดมาที่ตลาดนิชิกิ เพื่อหาข้าวทานกันค่ะ











อยากบอกว่าปลาหมึกอันนี้อร่อยมากค่ะ เราจัดมาเลย 3 ไม้ ข้างในจะมีไข่ด้วย





แล้วก็มาต่อมื้อเช้าที่ร้านนี้ ได้เซตหน้าตาตรงปกเป๊ะๆ แถมอร่อยด้วย





ขนมเม่นอันนี้ก็อร่อยค่ะ ตอนแรกซื้อเพราะน่ารัก พอกินเท่านั้นแหละ เห้ย อร่อยอ่ะ



ช่วงนี้ยังไม่หน้าสตรอเบอร์รี่ค่ะ แพงมาก เราเลยจัดมาไซส์เล็กแก้อยากแทน แต่ลูกพลับกับส้ม ช่วงนี้ถูกมากๆ



หลังจากนั้นเราก็นั่งรถไฟมาที่เมืองอูจิ โดยนั่งสายเคฮัง จากสถานี Gion Shijo มาที่สถานี Chushojima เพื่อเปลี่ยนสายมาลงที่สถานี Uji แล้วเดินอีกประมาณ 600 เมตรมาที่วัดเบียวโดอิน ใช้เวลาประมาณ 50 นาที

พอมาถึงเรารู้สึกชอบสถานีอูจิมากเลยค่ะ เป็นแบบปูนเปลือย ดูธรรมดา แต่มันดูมีอะไร มาพูดถึงเมืองอูจิกันค่ะ ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆในจังหวัดเกียวโตตั้งอยู่ริมแม่น้ำอูจิที่ไหลมาจากทะเลสาบบิวะ นอกจากนี้เมืองอูจิยังได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตชาเขียวที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วญี่ปุ่นด้วยค่ะ



จากนั้นเราก็เดินเลาะๆข้ามสะพานมาค่ะ และนี่คือรูปปั้นของท่านMurasaki Shikibu สตรีผู้ประพันธ์ นิยายเก็นจิ ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นนิยายเรื่องแรกของโลก และยังประพันธ์โดยผู้หญิงมาพันปีแล้ว ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 11 จุดเด่นของนิยายรักเกนจิ คือ การสะท้อนชีวิตของผู้คนในราชสำนักและชนชั้นสูง ในยุคเฮอัน ถือว่าชีวิตของคนชั้นสูงในเมืองหลวงเท่านั้นที่ควรค่าแก่การใส่ใจ ชาวบ้าน และคนอยู่เมืองอื่นๆนั้นเป็นคนนอก เป็นคนต่างระดับกับตน ไม่อยู่ในสายตาของผู้ปกครอง เรื่องราวของนิยายรักนี้ เขียนไว้ยาวมากถึง 54 บท และในนิยายนี้มีความเกี่ยวข้องกับเมืองอูจิคือ 10 บทสุดท้ายที่เรียกว่า Uji Chapters เป็นช่วงชีวิตของรุ่นลูก-หลาน หลังเกนจิเสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งชีวิตของผู้คนก็ยังวนเวียนอยู่ในโลกปรุงแต่ง เสพสุข ระทมรัก อย่างไรก็ตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดในนิยายเรื่องนี้พยายามสื่อให้เห็นผลบุญกรรมที่เคยทำมาในอดีตทั้งสิ้น ความรักของชายหญิงทั้งสองอาจจบไม่สวย แต่อย่างไร ความรักก็เป็นสิ่งที่งดงามเสมอ



เดินผ่านถนนย่านชาเขียวมาเราก็จะเจอประตูทางเข้าสีแดงสด ก็มาซื้อตั๋วที่ทางเข้ากันก่อนเลย







ช่วงที่เรามาถือว่าใบไม้ยังแดงสวยอยู่นะคะ ไม่โกร๋นมาก





คุ้นๆกันไหมเอ่ยว่าเคยเห็นวัดนี้กันที่ไหนมาก่อน



ใช่แล้วค่ะ นี่คือวัดมรดกโลกที่อยู่บนเหรียญ 10 เยนนั้นเอง







หลังจากเดินเล่นภายในวัดจบ เราก็มาเดินเล่นบนถนนที่เพิ่งเดินผ่านเข้าไป จะเห็นชาเขียวเยอะแยะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโซบะชาเขียว เกี๊ยวชาเขียว ชาเขียว ไอติมชาเขียว ทุกอย่างเป็นชาเขียวหมดเลยค่ะ









ขอแนะนำไอติมชาเขียวร้านนี้เลยค่ะ อร่อย นุ่ม ไม่ขมจนเกินไป อันนี้ที่เรากินจะเป็นลิมิเต็ดช่วงใบไม้เปลี่ยนสี เกาลัดค่ะ

ส่วนอันนี้ขายตลอดค่ะ ก็จะมีรสชาติที่ขายตามฤดูกาล เช่น ซากุระ และ หน้าร้อนด้วยค่ะ



อีกร้านที่แนะนำเลยค่ะ ชาเขียวนุ่มมากกก แต่ต้องเดินออกมาจากบริเวณวัดพอสมควร เดินมาทางที่จะไป JR Uji เลยค่ะ













มีให้เลือกหลายแบบมากๆ ที่เราเลือกมาอันนี้เป็นชาเขียวนมไข่มุกค่ะ พนักงานจะถามว่าเอาใส่แก้วหรือขวด ราคาจะไม่เท่ากัน และขอบอกว่าไข่มุกที่อยู่ในขวดแบบนี้กินยากมากค่ะ แต่เราชอบร้านนี้คือเค้าชงชาเขียวแก้วต่อแก้วเลย ไม่มีทำค้าง สดใหม่ อร่อยมาก





จากนั้นเราก็นั่งรถไฟต่อรถบัสมาที่วัดน้ำใสกันค่ะ โดยเราขึ้นรถไฟสาย JR สถานี Uji มาลงที่สถานี Tofukuji แล้วนั่งรถบัสสาย 207 มาลงที่ Gojozaka ข้ามฝั่งมาแล้วก็เดินตามถนนขึ้นมาเลยค่ะ





วัด Kiyomizu dera หรือที่รู้จักกันในชื่อ วัดน้ำใส ที่มาของชื่อวัดน้ำใสมาจากการที่วัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นปี ค.ศ. 780 แล้วมีน้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากน้ำตกโอโตวะไหลผ่านตัววัดนั่นเองค่ะ จุดที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของที่นี่ก็คืออาคารไม้ขนาดใหญ่ที่การสร้างทั้งหมดนี้ไม่มีการใช้ตะปูใดๆทั้งสิ้นและโถงอาคารถูกสร้างให้ยื่นออกไปภายนอกทำให้บริเวณนี้เป็นจุดชมวิวที่สวยงาม มองเห็นเมืองเกียวโตในฤดูต่างๆ และเป็นจุดชมซากุระและชมใบไม้แดงที่ขึ้นชื่อของเกียวโตอีกด้วยค่ะ แต่ก็ต้องบอกว่าวัดแห่งนี้ถูกปรับปรุงมาปลายปีแล้วค่ะ ตั้งแต่เราไปครั้งแรกปี 2015 จนมาถึงครั้งที่ 3 ปี 2019 ก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่จากการที่ถามเจ้าหน้าที่มา คาดการณ์ว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนมีนาคม 2020 ค่ะ ก็มารอดูกันว่าหลังจากเสร็จแล้วจะสวยงามมากแค่ไหนกัน












ศาลเจ้าบูชาเทพจิ้งจอกที่วัดน้ำใส






น้ำตกโอโตวะ ที่อยู่ด้านล่างของวัดน้ำใส โดยแต่ละสายจะมีประโยชน์ที่ต่างกัน ได้แก่อายุยืน, ประสบความสำเร็จในการเรียน และ ชีวิตคู่ ชาวญี่ปุ่นมักจะดื่มน้ำทั้ง 3 สาย











จากนั้นเราก็เดินมาเรื่อยๆ ตรงจุดไฮไลท์ของย่านนี้กันค่ะ หลายๆคนอาจจะเคยได้ยินข่าวว่ามีตรอกนึงในเกียวโตที่ห้ามถ่ายรูป แต่จะไม่ใช่ที่ย่านนี้นะคะ ตรงจุดนี้ยังสามารถถ่ายรูปได้ตามปกติค่ะ



และนี่คือ 1 วันของเราในเกียวโตที่ออกเดินทางจากโอซาก้าค่ะ จริงๆแพลนจะไปที่วัดฟูชิมิด้วย แต่เนื่องจากติดธุระต้องรีบกลับก่อนเลยตัดออกไป ซึ่งถ้าหากไปก็ยังสามารถทำได้นะคะ หวังว่าแพลนของเราจะเป็นแนวทางสำหรับทุกคนในการเดินทางท่องเที่ยวเกียวโตอย่างสนุกได้ แต่ถ้าให้แนะนำอยากเก็บจุดไฮไลท์ให้ครบ แนะนำให้นอนพักที่เกียวโตดีกว่าค่ะ เพราะที่นี่ยังมีสถานที่ให้ท่องเที่ยวเองเยอะเลยค่ะ

บันทึกประสบการณ์ ณ วันที่ 3 ธันวาคม 2019