สวัสดีครับ หลังจากที่เราได้ไปตะลอนทัวร์ในจังหวัดมิยาซากิกันมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ยังไม่จบเพียงเท่านั้น เราจะพามายัง จังหวัดโออิตะ กันต่อเลยครับ โดยเราจะยังคงใช้รถเช่าคันเดียวกับที่เราใช้ตะลอนในจังหวัดมิยาซากิ (ดูบทความได้ ที่นี่) เดินทางโดยใช้เส้นทางหลวงเส้นใหญ่ หรือท่านจะค้นหาจากจีพีเอสก็ทำได้ง่ายมากครับเพราะเป็นตัวเมืองโออิตะเลย (大分)
หลังจากเดินทางมาถึงตัวเมืองจังหวัดโออิตะแล้ว สถานที่แรกที่จะไปก็คือ พิพิธภัณฑ์จังหวัดโออิตะ ครับ หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า OPAM (大分県立美術館) พอเดินทางมาถึงแล้วก็หาที่จอดรถกันเลยจ้า มีค่าใช้จ่ายก็คือ 30 นาทีแรกจอดฟรี หลังจากนั้นคิดชั่วโมงละ 300 เยน โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะเปิด 10:00 – 19:00 ครับ
สำหรับท่านที่ชื่นชอบผลงานด้านสถาปัตยกรรมไม่ควรพลาดพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เลยละครับ
พอเดินเข้าไปจะพบกับบอลลูนขนาดใหญ่ซึ่งถูกออกแบบโดยนักออกแบบชาวฮอลันดาครับ ซึ่งหากสังเกตใกล้ๆ แล้วจะพบกับลวดลายธรรมชาติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ดอกไม้ ผีเสื้อ สัตว์ป่าต่างๆ ครับ
การเข้าชมพิพิธภัณฑ์จะไม่เก็บค่าเข้าชมนะครับ แต่สำหรับชั้นสองและห้องจัดแสดงผลงานทางศิลปะจะมีการเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมครับ
พอเดินต่อไปอีกนิดจะพบกับชุดเก้าอี้ไว้นั่งพักผ่อน สำหรับทุกท่าน ซึ่งสามารถใช้บริการ wifi ได้ฟรี จะมาใช้บริการเมื่อไหร่ก็ได้ครับ
ต่อไปก็จะพบกับผลงานของนักออกแบบชื่อดังชาวฮอลันดาครับ เป็นผลงานไม้ไผ่จักสานและสระว่ายน้ำซึ่งหากมองใกล้ๆ แล้วจะพบกับลายผีเสื้อและสัตว์ต่างอยู่ภายในครับ ถ่ายรูปด้วยกล้องไม่เห็นต้องมาดูด้วยตาครับถึงจะรู้
พอเดินต่อขึ้นมาถึงชั้นสองก็จะพบกับร้านกาแฟและเก้าอี้โต๊ะที่ทำจากแกนกระดาษซึ่งถือว่ามีดีไซน์ที่แปลกมากเลยครับ เป็นผลงานของนักออกแบบชาวญี่ปุ่น บัน ชิเงรุ
หากมองจากด้านบนเราจะเห็นว่าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์นั้นถูกออกแบบเป็นรูปเครื่องหมายคำถาม และจุดขายสินค้าพื้นบ้านจะถูกออกแบบเป็นตัว s หรือย่อมาจาก Shop นั่นเองครับ
เดินขึ้นมาอีกที่ชั้นสามก็จะพบกับลานกว้าง และเพดานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยไม้ที่ได้เป็นไม้จากจังหวัดโออิตะ ได้รับการออกแบบและสรรสร้างอย่างประณีตสวยงามมากเลยครับ
หลังจากเดินดูรอบๆ กันเรียบร้อยแล้วเราก็จำเป็นต้องทำการคืนรถกันแล้วละครับเพราะใกล้เวลาที่กำหนดไว้แล้ว เราก็เดินทางไปที่โตโยต้าเรนทาร์คาร์สาขาโออิตะกันเลย
หลังจากการคืนรถเรียบร้อยแล้ว ทางบริษัทก็มีบริการขับรถไปส่งที่สถานีรถไฟโออิตะด้วยละครับไม่ต้องลำบากเรียกแท๊กซี่หรือขึ้นบัสกันเลย เรียกว่าบริการดีเยี่ยมสุดๆ
เมื่อเดินทางมาถึงสถานีโออิตะต้องบอกว่าเป็นสถานีค่อนข้างใหญ่และทันสมัยมากซึ่งมีการนำห้าง Amu plaza oita ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้ามาอยู่ในสถานีรถไฟทำให้ผู้คนคึกคักมากเลยละครับ
นอกจากนี้สถานีโออิตะยังเป็นศูนย์กลางแห่งการคมนาคม ส่งไม่ว่าจะเป็นรถไฟ บัส แท็กซี่ ท่านสามารถเดินทางจากที่นี่ได้เลยครับ
ภายในนั้นถือว่าเป็นห้างสรรพสินค้าที่ครบครัน โดยท่านสามารถหาร้านค้าต่างๆ ได้หลากหลายเลย ไม่ว่าจะเป็น ABC Mart, H&M, Uniqlo, ร้านอาหารญี่ปุ่นขึ้นชื่อต่าง เป็นต้น ไม่ต้องไปโตเกียวโอซาก้าให้เสียเวลา มาโออิตะที่เดียวได้ครบเลยละครับ นอกจากนี้ยังมีสิทธิพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเรา ได้แก่คูปองลดราคาต่างๆ ให้เราได้ประหยัดเงินในกระเป๋าและช็อปปิ้งกันอย่างเต็มที่ไปเลยครับ
หลังจากช็อปปิ้งกันจนกระเป๋าตังเบากันไปแล้ว ถึงเวลาที่เราจะต้องใช้สิทธินักท่องเที่ยวของเราแล้วละครับ โดยทั่วไปแล้วที่ประเทศญี่ปุ่นจะมีการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 8% ในสินค้าต่างๆ แต่เราไม่ใช่คนญี่ปุ่น ดังนั้นก็ไม่จำเป็นที่เราจะต้องโดนเหมารวม 8% นั้นครับ เราจึงต้องไปทวง 8% นั้นคืนโดยที่ที่เราจะไปขอคืนที่ห้างโตกิวะครับ แต่ว่าบางร้านสามารถทำการ Refund ได้ที่ร้านเลย
การเดินทางมายังห้างโตกิวะก็เดินออกจากตัวสถานีมาและก็เลี้ยวซ้ายและเดินตรงไปเรื่อยๆ จะพบกับห้างขนาดใหญ่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของถนนครับ
และนี่ก็คือเคาน์เตอร์ขอ Tax refund ครับ อย่าลืมเก็บใบเสร็จไว้ในทุกๆ ครั้งของการซื้อสิ้นค้าด้วยนะครับเพราะต้องใช้เป็นหลักฐานในการขอแลกคืนเงินครับ เงื่อนไขก็คือซื้อของที่มีมูลค่า 5,000 เยนขึ้นไปครับ
ระหว่างทางเดินกลับท่านจะได้ผ่าน Shopping Street ซึ่งมีร้านรวงมากมายมาเปิดกันท่านสามารถเดินช้อปปิ้งได้ต่อหากยังไม่จุใจครับ ซึ่งถนนี้มีความยาวประมาณ 1.5 กิโลเมตรเลยที่เดียว เดินจนขาลากกันเลยล่ะครับ
ความพิเศษของจังหวัดโออิตะก็คือ แม้แต่เพื่อนๆ ซื้อของใน Shopping Street แห่งนี้ สามารถทำการ Refund ได้ด้วยนะ และไม่จะเป็นต้องซื้อของราคาเกิน 5,000 เยนขึ้นไปจากร้านๆ เดียว สามารถรวมใบเสร็จจากหลายๆ ร้านและไปทำการยืนขอ Refund ได้ที่ห้างโตกิวะเช่นกัน นอกจาก Shopping Street แห่งนี้ ก็ยังมีร้านค้าที่อื่นๆ อีกด้วย สามารถดูรายละเอียดได้ที่ https://www.oita-taxfree.jp/th/ เลย
เดินช็อปจนหนำใจแล้ว มื้อเย็นมื้อสุดท้ายก่อนจะต้องจากกัน ขอฝากท้องด้วยอาหารญี่ปุ่นเบสิกๆ แต่คุณภาพและรสชาติไม่ธรรมดาเลย ข้าวหน้าปลา คาราอาเกะ และ ซูชิ ที่ร้าน นิไดเมะโยอิจิ (二代目与一) ซึ่งตัวร้านก็ตั้งอยู่ภายในถนนคนเดินเมื่อสักครู่แหละครับหาไม่ยากเลย
เมนูยอดฮิตของที่นี่คือซูชิ ข้าวหน้าปลาริวกิว และคาราอาเกะครับ
รสชาติไม่ต้องพูดถึงครับ อร่อย ฟิน เต็มปากเต็มคำสุดๆ ไปเลย ทานให้อิ่มนะครับ ราคาก็ไม่ได้แพงอย่างที่คิดเตรียมเงินไป 10,000 เยน ทานกันได้ทั้งครอบครัวแน่นอนครับแถมเหลืออีกต่างหาก
พออิ่มกันแล้วก็ถึงเวลาต้องเดินทางกลับแล้ว เราก็เดินทางมาที่สถานีโออิตะอีกครั้งเพื่อนั่งรถไฟกลับครับ
พอตกกลางคืนมีการเปิดไฟตกแต่งสวยงามมากครับ
พอเดินเข้ามาภายในสถานีโออิตะ ซึ่งเชื่อมอยู่กับห้างสรรสินค้าก็จะพบกับเครื่องจำหน่ายตั๋วรถไฟและประชาสัมพันธ์ต่างๆ
สำหรับทริปนี้ถือว่าได้เก็บทั้งภาพทั้งความทรงจำหลายอย่างๆ มากเลยนะครับ อย่าลืมนะครับ คิวชูยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายที่ๆ ท่านไม่ควรพลาดนะครับ งั้นผมคงต้องเดินทางกลับแล้ว เดินทางปลอดภัยนะครับ สวัสดีครับ อ้อ ลืมบอกไป ที่จังหวัดโออิตะไม่ได้มีสิ่งน่าสนใจเพียงเท่านี้ (อันนี้น้อยไป 55 ) สามารถดูสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่ http://www.jgbthai.com/oita1/
หลังจากเดินทางมาถึงตัวเมืองจังหวัดโออิตะแล้ว สถานที่แรกที่จะไปก็คือ พิพิธภัณฑ์จังหวัดโออิตะ ครับ หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า OPAM (大分県立美術館) พอเดินทางมาถึงแล้วก็หาที่จอดรถกันเลยจ้า มีค่าใช้จ่ายก็คือ 30 นาทีแรกจอดฟรี หลังจากนั้นคิดชั่วโมงละ 300 เยน โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะเปิด 10:00 – 19:00 ครับ
สำหรับท่านที่ชื่นชอบผลงานด้านสถาปัตยกรรมไม่ควรพลาดพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เลยละครับ
พอเดินเข้าไปจะพบกับบอลลูนขนาดใหญ่ซึ่งถูกออกแบบโดยนักออกแบบชาวฮอลันดาครับ ซึ่งหากสังเกตใกล้ๆ แล้วจะพบกับลวดลายธรรมชาติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ดอกไม้ ผีเสื้อ สัตว์ป่าต่างๆ ครับ
การเข้าชมพิพิธภัณฑ์จะไม่เก็บค่าเข้าชมนะครับ แต่สำหรับชั้นสองและห้องจัดแสดงผลงานทางศิลปะจะมีการเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมครับ
พอเดินต่อไปอีกนิดจะพบกับชุดเก้าอี้ไว้นั่งพักผ่อน สำหรับทุกท่าน ซึ่งสามารถใช้บริการ wifi ได้ฟรี จะมาใช้บริการเมื่อไหร่ก็ได้ครับ
ต่อไปก็จะพบกับผลงานของนักออกแบบชื่อดังชาวฮอลันดาครับ เป็นผลงานไม้ไผ่จักสานและสระว่ายน้ำซึ่งหากมองใกล้ๆ แล้วจะพบกับลายผีเสื้อและสัตว์ต่างอยู่ภายในครับ ถ่ายรูปด้วยกล้องไม่เห็นต้องมาดูด้วยตาครับถึงจะรู้
พอเดินต่อขึ้นมาถึงชั้นสองก็จะพบกับร้านกาแฟและเก้าอี้โต๊ะที่ทำจากแกนกระดาษซึ่งถือว่ามีดีไซน์ที่แปลกมากเลยครับ เป็นผลงานของนักออกแบบชาวญี่ปุ่น บัน ชิเงรุ
หากมองจากด้านบนเราจะเห็นว่าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์นั้นถูกออกแบบเป็นรูปเครื่องหมายคำถาม และจุดขายสินค้าพื้นบ้านจะถูกออกแบบเป็นตัว s หรือย่อมาจาก Shop นั่นเองครับ
เดินขึ้นมาอีกที่ชั้นสามก็จะพบกับลานกว้าง และเพดานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยไม้ที่ได้เป็นไม้จากจังหวัดโออิตะ ได้รับการออกแบบและสรรสร้างอย่างประณีตสวยงามมากเลยครับ
หลังจากเดินดูรอบๆ กันเรียบร้อยแล้วเราก็จำเป็นต้องทำการคืนรถกันแล้วละครับเพราะใกล้เวลาที่กำหนดไว้แล้ว เราก็เดินทางไปที่โตโยต้าเรนทาร์คาร์สาขาโออิตะกันเลย
หลังจากการคืนรถเรียบร้อยแล้ว ทางบริษัทก็มีบริการขับรถไปส่งที่สถานีรถไฟโออิตะด้วยละครับไม่ต้องลำบากเรียกแท๊กซี่หรือขึ้นบัสกันเลย เรียกว่าบริการดีเยี่ยมสุดๆ
เมื่อเดินทางมาถึงสถานีโออิตะต้องบอกว่าเป็นสถานีค่อนข้างใหญ่และทันสมัยมากซึ่งมีการนำห้าง Amu plaza oita ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้ามาอยู่ในสถานีรถไฟทำให้ผู้คนคึกคักมากเลยละครับ
นอกจากนี้สถานีโออิตะยังเป็นศูนย์กลางแห่งการคมนาคม ส่งไม่ว่าจะเป็นรถไฟ บัส แท็กซี่ ท่านสามารถเดินทางจากที่นี่ได้เลยครับ
ภายในนั้นถือว่าเป็นห้างสรรพสินค้าที่ครบครัน โดยท่านสามารถหาร้านค้าต่างๆ ได้หลากหลายเลย ไม่ว่าจะเป็น ABC Mart, H&M, Uniqlo, ร้านอาหารญี่ปุ่นขึ้นชื่อต่าง เป็นต้น ไม่ต้องไปโตเกียวโอซาก้าให้เสียเวลา มาโออิตะที่เดียวได้ครบเลยละครับ นอกจากนี้ยังมีสิทธิพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเรา ได้แก่คูปองลดราคาต่างๆ ให้เราได้ประหยัดเงินในกระเป๋าและช็อปปิ้งกันอย่างเต็มที่ไปเลยครับ
หลังจากช็อปปิ้งกันจนกระเป๋าตังเบากันไปแล้ว ถึงเวลาที่เราจะต้องใช้สิทธินักท่องเที่ยวของเราแล้วละครับ โดยทั่วไปแล้วที่ประเทศญี่ปุ่นจะมีการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 8% ในสินค้าต่างๆ แต่เราไม่ใช่คนญี่ปุ่น ดังนั้นก็ไม่จำเป็นที่เราจะต้องโดนเหมารวม 8% นั้นครับ เราจึงต้องไปทวง 8% นั้นคืนโดยที่ที่เราจะไปขอคืนที่ห้างโตกิวะครับ แต่ว่าบางร้านสามารถทำการ Refund ได้ที่ร้านเลย
การเดินทางมายังห้างโตกิวะก็เดินออกจากตัวสถานีมาและก็เลี้ยวซ้ายและเดินตรงไปเรื่อยๆ จะพบกับห้างขนาดใหญ่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของถนนครับ
และนี่ก็คือเคาน์เตอร์ขอ Tax refund ครับ อย่าลืมเก็บใบเสร็จไว้ในทุกๆ ครั้งของการซื้อสิ้นค้าด้วยนะครับเพราะต้องใช้เป็นหลักฐานในการขอแลกคืนเงินครับ เงื่อนไขก็คือซื้อของที่มีมูลค่า 5,000 เยนขึ้นไปครับ
ระหว่างทางเดินกลับท่านจะได้ผ่าน Shopping Street ซึ่งมีร้านรวงมากมายมาเปิดกันท่านสามารถเดินช้อปปิ้งได้ต่อหากยังไม่จุใจครับ ซึ่งถนนี้มีความยาวประมาณ 1.5 กิโลเมตรเลยที่เดียว เดินจนขาลากกันเลยล่ะครับ
ความพิเศษของจังหวัดโออิตะก็คือ แม้แต่เพื่อนๆ ซื้อของใน Shopping Street แห่งนี้ สามารถทำการ Refund ได้ด้วยนะ และไม่จะเป็นต้องซื้อของราคาเกิน 5,000 เยนขึ้นไปจากร้านๆ เดียว สามารถรวมใบเสร็จจากหลายๆ ร้านและไปทำการยืนขอ Refund ได้ที่ห้างโตกิวะเช่นกัน นอกจาก Shopping Street แห่งนี้ ก็ยังมีร้านค้าที่อื่นๆ อีกด้วย สามารถดูรายละเอียดได้ที่ https://www.oita-taxfree.jp/th/ เลย
เดินช็อปจนหนำใจแล้ว มื้อเย็นมื้อสุดท้ายก่อนจะต้องจากกัน ขอฝากท้องด้วยอาหารญี่ปุ่นเบสิกๆ แต่คุณภาพและรสชาติไม่ธรรมดาเลย ข้าวหน้าปลา คาราอาเกะ และ ซูชิ ที่ร้าน นิไดเมะโยอิจิ (二代目与一) ซึ่งตัวร้านก็ตั้งอยู่ภายในถนนคนเดินเมื่อสักครู่แหละครับหาไม่ยากเลย
เมนูยอดฮิตของที่นี่คือซูชิ ข้าวหน้าปลาริวกิว และคาราอาเกะครับ
รสชาติไม่ต้องพูดถึงครับ อร่อย ฟิน เต็มปากเต็มคำสุดๆ ไปเลย ทานให้อิ่มนะครับ ราคาก็ไม่ได้แพงอย่างที่คิดเตรียมเงินไป 10,000 เยน ทานกันได้ทั้งครอบครัวแน่นอนครับแถมเหลืออีกต่างหาก
พออิ่มกันแล้วก็ถึงเวลาต้องเดินทางกลับแล้ว เราก็เดินทางมาที่สถานีโออิตะอีกครั้งเพื่อนั่งรถไฟกลับครับ
พอตกกลางคืนมีการเปิดไฟตกแต่งสวยงามมากครับ
พอเดินเข้ามาภายในสถานีโออิตะ ซึ่งเชื่อมอยู่กับห้างสรรสินค้าก็จะพบกับเครื่องจำหน่ายตั๋วรถไฟและประชาสัมพันธ์ต่างๆ
สำหรับทริปนี้ถือว่าได้เก็บทั้งภาพทั้งความทรงจำหลายอย่างๆ มากเลยนะครับ อย่าลืมนะครับ คิวชูยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายที่ๆ ท่านไม่ควรพลาดนะครับ งั้นผมคงต้องเดินทางกลับแล้ว เดินทางปลอดภัยนะครับ สวัสดีครับ อ้อ ลืมบอกไป ที่จังหวัดโออิตะไม่ได้มีสิ่งน่าสนใจเพียงเท่านี้ (อันนี้น้อยไป 55 ) สามารถดูสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่ http://www.jgbthai.com/oita1/