ดูพระอาทิตย์ตกที่วัด kiyomizu สุดโรแมนติก ท่ามกลางหิมะแรกของปี 2020

ถ้าพูดถึง Landmark ของจังหวัดเกียวโต…วัดน้ำใส หรือ 清水寺(Kiyomizudera) คงจะอยู่ในอันดับต้นๆของความคิดทุกคนเลยใช่มั้ยล่ะคะ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นวัดหรือโบราณสถานก็ต้องปิดเร็วเป็นธรรมดา คนส่วนใหญ่จึงไม่นิยมไปตอนเย็นนักเพราะนอกจากจะมืดจนมองไม่เห็นวิวอะไรแล้วร้านขายของที่ระลึกและขนมต่างๆยังปิดเงียบซะอีก แต่ครั้งเราขอให้ทุกคนเปลี่ยนความเชื่อนี้ไป มาลองเที่ยวในแบบใหม่กันเถอะ



ทุกคนยังจำทริปนาโกย่า ( ตอน อินุยามะ https://www.www.jgbthai.com/5-day-in-nagoya-2/ ) ที่เราพาไปชมพระอาทิตย์ตกบนยอดปราสาทอินุยามะได้มั้ยคะ ถ้าจำได้คงจะพอนึกออกแล้วใช่มั้ยล่ะว่ามันโรแมนติกขนาดไหนที่ได้เห็นพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปพร้อมกับวิวทิวทัศน์ที่น่าทึ่ง และครั้งที่เพิ่มความโรแมนติกเข้าไปอีกเมื่อหิมะแรกของเมืองเกียวโตในปี 2020 โปรยปรายลงมาอย่างไม่หยุดหย่อนในวันนี้


เราเริ่มเดินทางจากสถานีรถไฟเกียวโตตอนประมาณ 16.00 นั่งรถบัสสาย 100,206 ก็ได้ค่ะ ราคา 230 ¥ การเดินทางมาที่วัดน้ำใสสามารถเลือกลงป้ายรถบัสได้สองป้ายค่ะ คือ Gojo-zaka และ kiyomizu-michi โดย Gojo-zaka จะถึงก่อน ทางขึ้นจะเป็นทางลาดขึ้นภูเขา รถสามารถขึ้นมาทางนี้ได้ มีร้านค้าข้างทางนิดหน่อยแต่ไม่เยอะมากค่ะ ในขณะที่ถ้าลงป้าย kiyomizu-michi จะเป็นเหมือนในรูปจากเว็บท่องเที่ยวเลย เพราะจะมีร้านค้าจากอาคารย้อนยุคตลอดทาง ทั้งขนมและของที่ระลึก เป็นทางลาดขึ้นภูเขาเหมือนอีกฝั่งแต่ไม่ชันเท่า ข้อเสียอย่างเดียวของทางนี้คือคนเยอะมากกก



สิ่งสำคัญที่สุดในการมาชมพระอาทิตย์ตกครั้งนี้คือเวลาค่ะ เพื่อนๆต้องเช็คเวลาตกของพระอาทิตย์ของวันนั้นให้แน่ใจก่อนว่าพระอาทิตย์จะตกเวลาไหน ไม่ได้ตกหลังจากวัดปิดให้เข้าแล้วใบ่มั้ย ซึ่งเวลาปิดนั้นจะขึ้นอยู่กับฤดูด้วยนะคะ วันที่เราไปพระอาทิตย์ตกประมาณ 5 โมงครึ่ง แล้วตัววัดปิด 6 โมง มีเวลาเดินชมนิดเดียว แต่บอกเลยว่าคุ้มมากๆ เราใช้เวลาบนรถบัสและการเดินขึ้นเขาทั้งหมดเกือบ 1 ชั่วโมง กว่าจะมาถึงตัววัดก็ 5 โมงแล้ว แต่แสงช่วงนั้นกำลังสวยเลยนะคะ


ค่าผ่านประตู 400 ¥ บอกตามตรงว่าเราไม่ได้ใช้เวลาอยู่ในอาคารหลักมาก แค่เดินดูบางส่วน+ซื้อเครื่องรางนิดหน่อยเพราะตอนนั้นปิดซ่อมอยู่และเวลาเหลือไม่มาก555 เพราะฉะนั้นแนะนำให้เดินเลยออกมาตรงจุดชมวิวเลย มุมที่พระอาทิตย์ตกจะอยู่ตรงหน้าเราพอดี



ตรงที่เรายืนดูพระอาทิตย์ตกอยู่ไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นเลยค่ะ คือไพรเวทมากๆ บรรยากาศดีสุดๆ แต่มีสิ่งหนึ่งที่บางคนอาจจะไม่ชอบคืออากาศค่ะ ถ้าถึงขั้นหิมะตกแล้วล่ะก็แปลว่าอากาศก็ต้องหนาวจนคนไทยอย่างเราต้องสะท้านทุกครั้งที่ลมพัดเพราะมันอยู่ที่ -1 องศาค่ะ


จริงๆเราแอบเสียดายเพราะตอนไป ทางวัดยังซ่อมอาคารหลักไม่เสร็จ แต่ถ้าลองคิดในอีกแง่นึง เราคงไม่ได้เห็นภาพแบบนี้ไปอีกนานจนกว่าเค้าจะซ่อมครั้งใหญ่อีกครั้งนะ แบบนี้ก็สวยไปอีกแบบ



เพียงช่วงเวลาไม่กี่นาที ฟ้าก็จะมืดลงไประดับนึงเลยล่ะค่ะ พอชมวิวพระอาทิตย์ตกจนพอใจแล้ว เราก็รีบเดินต่อมาจนถึงทางลงเขา ถ้าใครเคยมาที่นี่แล้วจะรู้ว่าทางนี้ไม่ใช่สั้นๆ ยิ่งถ้าอากาศหนาวขนาดนี้แล้วเรานี่กึ่งเดินกึ่งวิ่งเลยล่ะค่ะ



อีกเหตุผลที่เราต้องรีบคือเรามีอีกจุด Landmark ของวัดให้เก็บนั่นเอง มาวัดน้ำใสก็ต้องมาดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์สิคะ น้ำบริสุทธิ์ทั้งสามสายที่ไหลลงมาจากยอดเขา กระบวยที่ไว้รองน้ำดื่มผ่านการฆ่าเชื้อทั้งหมดแล้วน้า ในเวลาปกติล่ะต้องใช้เวลาต่อแถวเพื่อดื่มน้ำแล้วถ่ายรูปจุดนี้นานระดับนึงเลยนะคะ แต่เวลาแบบนี้เราใช้เวลาของเราได้เต็มที่ ไม่ต้องรีบ ไม่มีใครมาเร่ง แต่ในอากาศ -1 องศา การดื่มน้ำเพื่อความโชคดีนี้ก็ต้องทนมือชาไปพักนึงนะคะ



เอาล่ะค่ะ เรามาถึงตัววัด 5 โมง เดินเล่นชมวิว ชมพระอาทิตย์ตกจนเกือบ 6 โมงเย็นซึ่งก็มืดและหนาวมากแล้ว ในเขตเมืองเก่าของเกียวโตสถานที่ท่องเที่ยวมักจะปิดเวลาเดียวกันกับวัดนี้หมด เหลืออยู่แค่ที่เดียวนั่นก็คือ Gion ค่ะ


เรานั่งรถบัสสายเดิมคือ 100 หรือ 206 มาลงที่ป้าย Gion เดินต่อมาตามถนนใหญ่สักพักก็จะเจอร้าน Honke Yatsuhashi Nishio Gion ร้านนี้เป็นร้าน Yatsuhashi ที่เก่าแก่ที่สุดในเกียวโต โดยสาขาแรกที่ Kumano มีอายุถึง 300 ปี เลยทีเดียว ส่วนร้านที่ Gion นี้ด้านบนจะเป็นคาเฟ่ ส่วนด้านล่างจะเป็นร้านขายขนมและของระลึก แค่กระดาษรองแก้วก็สัมผัสได้ถึงความประณีตของวัฒนธรรมญี่ปุ่นแล้วใช่มั้ยล่ะ



เรากับเพื่อนเลือกสั่งสองอย่างค่ะอันแรกเป็น set ชาเขียวกับขนมหวานที่ออก Fusion หน่อยๆ ขนมสี่เหลี่ยมๆ คือแป้ง Yatsuhashi ที่สอดไส้ด้วยถั่วแดง ชาเขียว และไอศกรีมวานิลลา, แป้งเซ็มเบ้ทานคู่กับถั่วแดง และเค้กชาเขียวกับครีมสด


โดยเราต้องกินขนมหวานทั้งหมดก่อนให้ลิ้นชินกับความหวาน จากนั้นจึงดื่มชาเขียวรสขมเข้าไปตัดค่ะ ส่วนอีกถ้วยนึงจะคล้ายๆบัวลอยน้ำขิงบ้านเราแต่ไส้บัวลอยเป็นถั่วแดง กินตัดกับบ๊วยอบแห้งค่ะ แนะนำว่าอย่าชิมอะไรเปล่าๆนะคะ ทุกอย่างมันมีไว้คู่กัน แยกกินแล้วจะรู้สึกแปลกๆน่อย



ภาพพระอาทิตย์ตกดิน เกล็ดหิมะที่ตกลงมาและถูกลมพัดปลิวว่อน ต้นไม้ที่ใบร่วงหมดเหลือแต่กิ่ง หรือแม้กระทั่งอาคารที่อยู่ในระหว่างการบูรณะ ทุกอย่างมันสวยกว่าที่กล้องจะถ่ายหรือภาษาจะบรรยายมาก ต้องลองมาชมด้วยตัวเองจริงๆค่ะ


บรรยากาศดีๆแบบนี้ไม่ได้หายากอย่างที่ทุกคนคิดนะคะ เพียงแค่วางแผนช่วงเวลาการไปให้ดี อีกอย่างหนึ่งคือมุมมองของเราค่ะ ถ้าเราเลือกที่จะมองข้ามสิ่งที่มันแย่ๆ แล้วมองหาสิ่งดีๆรอบตัวแทน ไม่ว่าทริปนั้นจะเป็นอย่างไร มันก็จะมีความทรงจำดีๆไว้ให้เราจดจำแน่นอนค่ะ