ช่วงหลังๆ คนไทยหลายคนก็เริ่มที่จะเบื่อพวกเมืองใหญ่ๆ อย่างโตเกียวหรือโอซาก้ากันแล้ว และหันมาเที่ยวแดนใต้อย่างเกาะคิวชูกันเยอะพอสมควรเลยล่ะ ซึ่งที่คิวชูนั้นก็มีที่เที่ยวอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นฟุกุโอกะ, โออิตะ, คุมะโมโตะ และอื่นๆ อีกมากมาย แต่มีอยู่ที่หนึ่งที่คนไทยอาจจะไม่ค่อยได้ไปกันนัก หรือว่าแวะผ่านแค่แปปเดียวแล้วไปที่อื่นต่อ ซึ่งที่นี่ถือว่ามีความน่าสนใจน่าเที่ยวมากเลยทีเดียว นั่นก็คือคิตะคิวชูนั่นเองจ้า
คิตะคิวชูนั้นเป็นเมืองที่อยู่ทางเหนือของเกาะคิวชู (คิตะแปลว่าเหนือ) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดฟุกุโอกะ ก่อตั้งเมื่อปี 1963 จากเมืองเล็กๆ ได้แก่ โคคุระ, โมจิ, ยาฮาตะ, โทบาตะและวากามัตสึมารวมตัวกัน เป็นเมืองแห่งอุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศญี่ปุ่นเนื่องจากเป็นเมืองที่มีทรัพยากรที่สมบูรณ์ แต่เดิมนั้นเคยเป็นเมืองที่ประสบปัญหาด้านมลภาวะเข้าขั้นยํ่าแย่ แต่ก็ได้รับการร่วมมือที่ดีที่จากทั้งภาครัฐและประชาชน เปลี่ยนให้เป็นเมืองที่สวยงามจนเรียกได้ว่าเป็น Green Zone เลยทีเดียว
ปัจจุบัน คิตะคิวชูถือว่าเป็นเมืองที่มีเสน่ห์น่าหลงไหลและมีสถานที่ท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก และยังเป็นเมืองแห่งภาพยนตร์อีกด้วย เพราะเขาสนับสนุนให้ผู้สร้างภาพยนตร์มาถ่ายทำที่คิตะคิวชู ซึ่งประเทศไทยนั้นเป็นประเทศนอกญี่ปุ่นแรกที่มาถ่ายทำละครที่เมืองคิตะคิวชู ได้แก่เรื่องกลกิโมโนที่ฉายไปทางช่อง 3 และ Devil Lover เผลอใจ….ให้นายปีศาจ ก็เพราะที่มีเสน่ห์ของความเป็นญี่ปุ่นนั่นเองจ้า เอาล่ะ เม้ามอยฝอยจนนํ้าลายฟุ้งไปทั่วทุ่งมาซะขนาดนี้แล้ว เราไปดูกันเลยดีกว่า ว่าที่นี่มีอะไรบ้าง
ปราสาทโคคุระ ประวัติศาสตร์แห่งซามุไรที่ยังหลงเหลืออยู่
เป็นสถานที่ๆ เรียกว่าถ้าคุณไม่ได้มาก็เหมือนกับมาไม่ถึงคิตะคิวชู สำหรับปราสาทโคคุระ ที่รวบรวมเรื่องราวในประวัตศาสตร์ประเทศญี่ปุ่นไว้ ปราสาทโคคุระเป็นปราสาทเก่าแก่ที่ถูกก่อตั้งขึ้นโดย โฮโซคาวะ ทาดะโอกิ ในปี ค.ศ.1602 เป็นทรัพย์สมบัติของกลุ่มโอกาซาวะระจนถึงปี ค.ศ.1860 แต่ว่าก็ถูกโจมตีถูกทำลายจนเสียหายและได้รับการซ่อมแซมจนสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1990
มาดูที่ส่วนแรกกันก่อนเลยกับส่วนที่เป็นสวนมีความสวยงามเป็นธรรมชาติกลางเมืองใหญ่ ตรงกลางนั้นจะเป็นเรือนเล็กๆ ที่ในอดีตเป็นห้องรับรองของผู้ปกครองแคว้นซึ่งยังคงความสวยงามตามสไตล์ญี่ปุ่นโบราณไว้
และที่ด้านนอกก็ยังมีร้านชาเล็กๆ ให้บริการอยู่ด้วย ซึ่งไม่ใช่ชาอาแปะห่วยๆ แต่อย่างใด แต่เป็นชาเขียวมัตฉะที่ผ่านการชงโดยท่านอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการชงชาอย่างพิถีพิถัน ซึ่งนอกจากจะได้ลิ้มรสชาติต้นตำหรับออริจินอลแล้วเรายังได้เรียนรู้ถึงขั้นตอนการชงชาที่เป็นศิลปะชั้นสูงของประเทศญี่ปุ่น รวมถึงมารยาทและวิธีที่ถูกต้องในการดื่มชาด้วยนะ และการดื่มชานั้นก็ต้องมีขนมญี่ปุ่นเคียงด้วย เนื่องจากชานั้นมีรสที่ขม การที่ทานขนมหวานไปก่อนแล้วตามด้วยการดื่มชาก็จะทำให้ออกมามีรสชาติที่พอดี
ต่อมาเราก็มาดูที่อาคารหลักของปราสาทกันต่อ ถึงแม้ว่าจะทำการบูรณะซ่อมแซมใหม่อันเนื่องมาจากความเสียหายแต่ก็ยังมีเค้าโครงที่สวยงามของตัวปราสาทแบบเก่าอยู่ ภายในได้ถูกทำเป็นพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์จัดแสดงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวัตถุโบราณต่างๆ, งานศิลปะและอื่นๆ อีกมากมาย และที่ชั้นบนสุดก็มีจุดชมวิวที่สามารถชมความสวยงามของเมืองโคคุระได้อีกด้วย
ม็อคอัพจำลองปราสาทโคคุระในอดีต
ลิ้มรสอาหารรสเด็ดมากมายที่ตลาดทังกะ
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ดังนั้นเราก็ต้องมาหาอะไรทานกันกับที่นี่เลย ที่ตลาดทังกะ เป็นตลาดที่มีชื่อเสียงในเมืองโคคุระตั้งแต่ยุคสมัยไทโช เรียกว่าเป็นครัวของคิตะคิวชูเลยล่ะ ขึ้นชื่อว่าเป็นตลาด แต่นอนว่าต้องมีอาหารมากมายไว้คอยให้บริการ ไม่ว่าจะเป็นทั้งอาหารสด, อาหารแห้งและอาหารปรุงสำเร็จ มีอยู่มากมายหลายร้านสองฝั่งเป็นทางทอดยาวกว่า 120 ร้าน
จะว่าไปตลาดแต่ละตลาดมันก็เหมือนๆ กันนั่นแหละ จะต่างก็ต่างกันไม่มาก ดังนั้นเราก็เลยต้องมาหาจุดแตกต่างของที่นี่ แล้วก็เจอจนได้กับร้านเล็กๆ ดูเก่าๆ นิดนึงมีโต๊ะอยู่ไม่กี่โต๊ะ ก็เลยตกลงทานกันที่นี่แหละ เขาบอกว่าเป็นของดีของตลาดนี้ อ๊ะ โอเค ก็เอากับเขาหน่อย กระโดดไปร่วมวงกันอย่างทันท่วงที
สักพักหนึ่งก็มีชามมาเสิร์ฟ ไอ้เราก็ลุ้นว่าข้างในจะมีอะไร แต่แต๊นนนนนน มันเป็นข้าวเปล่า….. ไอ้เราก็งงว่าเฮ้ย งานนี้โดนพี่ยุ่นหลอกให้กินข้าวเปล่าหรือเปล่าเนี้ยะ แล้วก็มารู้ความจริงอีกก็คือที่ร้านนี้ เขาจะขายข้าวเปล่าอย่างเดียว แล้วให้คุณลูกค้านั้นถือชามข้าวเดินไปในตลาดเพื่อซื้อกับข้าวและให้เขาใส่ลงมาในชามเลย ซื้อจนเต็มชมพอใจเสร็จแล้วค่อยเดินย้อนกลับมาทานที่ร้าน เป็นอะไรที่น่าสนุกและน่าอร่อยจริงๆ
ถือชามยืนเลือกซื้อกันได้เลย
เมนูขึ้นชื่อ ปลาซาบะและปลาอิวาชิย่างราดนุกะมิโสะ
จากนั้นก็ไม่รีรอชักช้า เดินดุ่มๆ เข้าไปหาซื้อกับข้าวทันที ซึ่งพอลองมองลึกๆ อีกทีก็มีอยู่หลายร้านมากๆ ที่ขายกับข้าวปรุงสำเร็จ ราวกับว่าพี่ร้านขายข้าวนี้ไปเจรจาต้าอ่วยกับร้านต่างๆ จะได้โปรโมทตลาดนี้ให้กับนักท่องเที่ยวไปในตัว แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าจะทานได้ไม่หลากหลาย เพราะแม้แต่ไก่คาราอาเกะชิ้นเล็กๆ ชิ้นเดียวเขาก็ขาย ไม่ต้องมานั่งซื้อให้ครบ 1 ขีด 2 ขีด และอาหารทีเด็ดของที่คิตะคิวชูที่จะพลาดไม่ได้เลยก็คือปลาซาบะราดนุกะมิโสะ ซึ่งเป็นมิโสะที่มีรสหวานกลมกล่อมเข้ากันกับข้าวได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
สัมผัสชาที่แท้จริง ชาที่เป็นชา
สัมผัสวัฒนธรรมความเป็นประเทศญี่ปุ่นอย่างแท้จริง สิ่งหนึ่งที่จะขาดเป็นมิได้เลยก็คือการได้ดื่มชาเนี้ยะแหละ ที่เมืองโคคุระนั้นก็มีร้านชาอยุ่ร้านหนึ่งที่มีชื่อเสียงอยู่ตรงย่านร้านค้า ดังนั้นก็เลยแวะปรี่เข้าไปเยี่ยมชมกันสักหน่อย ร้านนี้มีชื่อว่า Tsujiri เรียกว่าเป็นร้านชาครบวงจร มีจำหน่ายใบชามากมายหลายเกรดยันไปถึงชาชั้นยอดอย่างเกียวกุโระ ก็มีให้เลือกอยู่มากมาย
หลายคนอาจจะงง ร้านไหนก็มีขายชา ทำไมต้องเป็นร้านนี้ด้วย นอกจากความครบเครื่องของชาแล้ว ทางเจ้าของร้านเขาได้ให้เกียรติมาสาธิตวิธีการชงชาแบบถูกต้องให้ได้รสชาติตามต้นตำรับด้วย ได้เรียนรู้วัฒนธรรมไปในตัว เพราะเอาจริงๆ ถึงแม้ว่าจะซื้อชาดีสักแค่ไหน แต่ถ้าไปซี้ซั้วต้มแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่นี่เจ๊งกระบ๊งเสียตายเงินในกระเป๋าของท่านแน่นอน และร้านชาทีดีจะต้องมีให้ชิมก่อน ไม่ใช่มัดมือชกแบบพวกร้านในประเทศจีนที่อาจทำให้ท่านนํ้าตาเช็ดหัวเข่าได้ง่ายๆ
นำนํ้าเดือดใส่ภาชนะ แล้วนำนํ้าในภาชนะรินใส่แก้วชา แล้วก็นำนํ้าในแก้วชาไปริสใส่กาอีกที เป็นการลดอุณหภูมิ
ขั้นตอนการชงให้ดีก็อาจจะมีขั้นตอนเยอะหน่อย แต่อร่อยแน่นอน การชงชาที่ถูกต้องห้ามชงด้วยนํ้าเดือดเด็ดขาด ที่นี้เขาก็จะมีวิธีลดความร้อนของนํ้าโดยการแทใส่ภาชนะอื่นๆ เพื่อลดความร้อนลง จากกาต้มนํ้าใส่เหยือก, จากเหยือกใส่แก้วชา แล้วค่อยนำจากแก้วชาใส่ลงไปในกาที่มีใบชาอีกทีหนึ่ง จากนั้นรอสักประมาณ 1 นาทีกลิ้งๆ สักหน่อยก็สามารถเทดื่มได้เลย ซึ่งจากที่ได้ลองชาเกียวกุโระ เรียกได้ว่าสุดยอดมากๆ เลย แถมทางร้านก็สาธิตวิธีชงแบบเย็น ซึ่งก็พึ่งจะรู้เหมือนกันว่ามันชงกับนํ้าเย็นได้ด้วย เหมาะกับประเทศไทยที่อากาศร้อนมากๆ นอกจากนั้นก็ยังมีอุปกรณ์การชงชาวางจำหน่ายอีกเพียบ มากับแบบครบวงจรซื้อปุ๊ปพร้อมชงได้เลย นอกเหนือซะจากที่บ้านไม่มีกาต้มนํ้าร้อนอันนั้นก็ช่วยไม่ได้จริงๆ ฮะ
ของหวานรสชาเขียวแสนอร่อยก็มีให้เลือกมากมาย
ยากิคาเร อาหารแสนอร่อยที่โมจิโกะ เมืองท่าที่สำคัญของคิตะคิวชู
เข้มนาฬิกาเดินไปอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย รู้สึกตัวอีกที่ก็ล่อไปเที่ยงตรงแล้ว ท้องก็เริ่มหิวเลยต้องเติมพลังกันเสียหน่อย มื้อนี้เราก็เลยได้มาทานกันที่โมจิโกะ เมืองท่าแห่งคิตะคิวชูที่มีเมนู่จานอร่อยอย่าง ยากิคาเร หรือว่าแกงกะหรี่กระทะร้อนนั่นเองจ้า
ยากิคาเรนั้นเป็นอาหารแสนอร่อยที่มีประวัติมายาวนานของเมืองโมจิโกะ ต้นกำเนิดของเจ้าอาหารจานนี้ก็คือเป็นอาหารของพนักงานที่ทำอยู่ที่ท่าเรือของโมจิโกะ จากนั้นก็เริ่มได้รับความนิยมมาเรื่อยๆ จนมีชื่อเสียงโด่งดังและกลายเป็นอาหารประจำเมืองโมจิโกะซึ่งปัจจุบันก็มีอยู่มากมายหลายร้าน แต่ร้านนี้ได้รับความนิยมมากที่สุดเพราะเสิร์ฟในกระทะที่ร้อนมากๆ และมีรสชาติที่อร่อยจากวัตถุดิบท้องถิ่น
เจ้ายากิคาเรนั้นก็คือข้าวราดแกงกะหรี่ที่เสิร์ฟมาในกระทะร้อนๆ หอมกรุ่น อัดด้วยมอสซาเรลล่าชีสยืดเยิ้มเข้มข้น ตามด้วยไข่แดงฉ่ำๆ เพิ่มความกลมกล่อมเข้าไปอีก ซึ่งรสชาติของแกงกะหรี่นั้นมีความเข้มข้นมากๆ ต่างจากข้าวราดแกงกะหรี่ทั่วๆ ไปเมื่อผสมคลุกเคล้ากับมอสซาเรลล่าชีสและไข่แดงแล้วรสชาติที่ออกมามันเข้ากันได้ดีมาก อร่อยและแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร อีกทั้งยังมีกลิ่นกระทะร้อนเล็กน้อยหอมฉุยมาเสริมเพิ่มความฟินกันอีกด้วย
อีกหนึ่งความดีงามก็คือเบียร์นี่ล่ะ หากใครที่ได้ติดตามเรื่องราวของประเทศญี่ปุ่นจะพอทราบกันดีว่าคราฟต์เบียร์นั้นได้รับความนิยมในประเทศญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก ซึ่งที่นี่ก็มีคราฟต์เบียร์กับเขาด้วย โดยตัวที่เด็ดสุดก็คือเบียร์ไวเซ่น เพราะการันตีด้วยรางวัลจากการประกวดในประเทศญี่ปุ่นมาแล้ว ทั้งนุ่มและมีรสชาติหอมหวานจากผลไม้ พอฟัดพอเหวี่ยงกับไวเซ่นเบียร์แบรนด์ดังๆ ได้เลย
หลังจากที่อิ่มหนำกันเลยเราก็ถือโอกาสมาเที่ยวเล่นภายในเมืองโมจิโกะกันสักนิดหน่อย โมจิโกะนั้นเป็นเมืองท่าโบราณที่ชาวต่างชาติแวะเวียนกันมาอย่างมากมายเฉลี่ยปีละ 2 ล้านคนเลยทีเดียว แต่ว่าไม่เป็นที่รู้จักในไทยมากนัก เพราะขนาดเจ้าหน้าที่ยังบอกว่าแทบจะไม่ค่อยเจอคนไทยเลย เสน่ห์ของที่นี่ก็คือการตกแต่งเมืองในสไตล์ตะวันตก ได้เดินชมแล้วรู้สึกว่าเหมือนไม่ได้อยู่ในประเทศญี่ปุ่นไปสักพักหนึ่ง และที่แห่งนี่ อัลเบิร์ต ไอสไตน์ ก็เคยมากพักที่เมืองนี้ด้วย ปัจจุบันก็ได้นำบ้านหลังที่เขาพักนั้นมาทำการจัดแสดงให้นักท่องเที่ยวได้ชมกัน อีกทั้งยังมีกิจกรรมปั่นจักรยานให้ได้ชมความสวยงามของเมืองอีกด้วย และตอนนี้ทางเทศบาลเองก็กำลังผลักดันเมืองแห่งนี้ยกให้เป็นเมืองแห่งศิลปะเพื่อนจัดงานอีเว้นท์สำคัญๆ ในอนาคต
ท่องธรรมชาติแสนงามที่สวนพฤษชาติชิระโนะเอะ
แน่นอน เราหลีกหนีความวุ่นวายภายในเมืองใหญ่ๆ มาเที่ยวในเมืองที่ห่างไกล ในความสำคัญก็คืออยากจะมาเที่ยวอะไรที่มันเป็นธรรมชาติที่แหละ ถ้ามาคิตะคิวชูก็ต้องที่นี่เลย กับสวนพฤษชาติชิระโนะเอะ ให้ได้พักผ่อนหย่อนใจไปกับธรรมชาติ
สวนพฤษชาติชิระโนะเอะนั้นเดิมที่เป็นของทางเอกชน เปิดให้บริการมาเป็นเวลาถึง 40 ปีแล้ว แต่เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้วทางรัฐบาลก็ขอซื้อไปทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและเปิดให้บริการมาจนถึงปัจจุบัน โดยที่นี่มีจุดเด่นเลยก็คือต้นซากุระมากมายถึง 60 สายพันธุ์ รวมทั้งสิ้น 800 ต้น รวมถึงสายพันธุ์หายากบางชนิดอย่างซาโต้ซากุระที่มีเพียงต้นเดียวในประเทศญี่ปุ่น ทำให้ที่นี่มีซากุระตลอดทั้งปี (แต่ว่าช่วงนอกฤดูจะน้อยมาก) โดยต้นที่เก่าแก่ที่สุดของที่นี่มีอายุถึง 500 ปีเลยล่ะ นี่จึงทำให้ช่วงฤดูซากุระนั้น มีผู้คนมาเยี่ยมชมและปิ๊กนิกชมซากุระถึง 15,000 คนเลย
ที่นี่นับว่าเป็นจุดพักผีเสื้อที่บินหนีเขตหนาวไปยังที่อบอุ่น ตรงสวนดอกฟูจิบากามะนั้นจึงมีผีเสื้อมาพักอาศัยอยู่มากมายให้เหล่าคนรักผีเสื้อได้ชมกันมากกว่า 200 ตัว ช่างภาพที่ชอบถ่ายภาพผีเสื้อก็มักจะแวะมาถ่ายรูปกันที่นี่ ทำไมมันต้องมาเกาะอยู่แถวดอกฟูจิบากามะล่ะ นี่เป็นความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของธรรมชาติเลย นํ้าหวานจากดอกฟูจิบากามะนั้นมีฤทธิ์เป็นพิษ แต่ว่าผีเสื้อนั้นสามารถดูนํ้าหวานได้เหมือนกับปลาการ์ตูนในดงปะการัง เจ้าผีเสื้อนั้นจะดูดนํ้าหวานและทำให้ตัวของมันมีพิษเพื่อป้องกันสัตว์ที่ใหญ่กว่าอย่างเช่นนกมากินมันนั่นเอง
นอกจากซากุระแล้วยังมีต้นโมมิจิมากมาย ให้ผู้ที่มาเข้าชมใบไม้เปลี่ยนสีได้ชื่นชมกัน แอบเสียดายเล็กๆ เพราะช่วงที่ไปนั้นใบไม้ยังไม่เริ่มแดง เมื่อใบไม้แดงแล้วก็จะมีนักท่องเที่ยวมากมายแห่กันมาเที่ยวชมถึง 10,000 คนเลยล่ะ
และไม่ใช่มีแค่ซากุระกับโมมิจิเท่านั้น แต่ต้นไม้และดอกไม้ต่างๆ ก็ยังมีให้ชมกันอย่างมากมายนับไม่ถ้วนให้ได้สัมผัสความงามของธรรมชาติได้เต็มที่ ถ้าได้มาเที่ยวก็อย่าลืมแวะมากันล่ะ
พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ของมนุษย์และธรรมชาติคิตะคิวชู
ที่แห่งนี้ตอนได้ยินได้เห็น รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งนอกสายตามากๆ น่าจะเป็นอะไรที่น่าสนใจน้อยที่สุดในคิตะคิวชู แต่พอได้เข้าไปปุ๊ป หารู้ไม่ว่าที่นี่เป็นอีกหนึ่งสุดยอดอันดับต้นๆ ของเมืองคิตะคิวชูเลยทีเดียว กับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ของมนุษย์และธรรมชาติคิตะคิวชู ที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างมากเลยล่ะ
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับที่สองของประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว และชาวต่างชาติต่างก็ยกนิ้วให้ เขียนคำชมอยู่ในเว็บไซต์ Trip Advisor ไว้เพียบ เพราะว่ามีเรื่องราวและข้อมูลที่น่าสนใจอยู่ภายในอย่างมากมายทั้งเรื่องธรรมชาติและมนุษยชาติ และแต่ละอย่างก็แน่นปึ้ก ไม่ใช่ขี้ตู่กลางนาขี้ตาตุ๊กแกมาเขียนอะไรซี้ซั้วมั่วนิ่มแต่อย่างใด
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ถูกแบบออกเป็นออกเป็นสองโซนด้วยกัน ได้แก่โซนธรรมชาติและโซนประวัติศาสตร์มนุษย์ เข้ามาปุ๊ปเราก็จะได้เห็นความเป็นมาของโลกใบนี้ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของดาวโลกเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นพวกสัตว์โบราณและสิ่งมีชีวิตอย่างเก่าแก่อย่างไดโนเสาร์ เรียงรายกันจนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็มีข้อมูลอยู่มากมายให้เราได้ศึกษาแน่นเอี๊ยดเต็มไปหมดเลย
เอาจริงๆ แล้วพิพิธภัณฑ์ทุกที่บนโลกเขาก็มีข้อมูลมากมายมหาศาลเหมือนกันแหละ จะต่างกันก็ไม่มากเท่าไหร่ แต่เสน่ห์ของที่นี่ก็คือการนำเสนอของเขานี่ล่ะครับ ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกสนใจที่จะเรียนรู้และก็ได้ความรู้กลับบ้านไปโดยปริยาย ไม่ว่าจะเป็นการจัดเรียงโซนต่างๆ ไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย, การท่ายทอดเรื่องราวด้วยสิ่งจำลองอันตื่นตาและข้อมูลที่เรียงกันเป็นระเบียบ ที่น่าชมเลยก็คือในส่วนของหน้าจอที่จะคอยบอกรายละเอียดต่างๆ ในแต่ละโซน อยากรู้อะไรก็แค่จิ้มๆ เจ้าไปดู มีการออกแบบ User Interface และแบ่งหมวดหมู่ไว้อย่างชัดเจน
แน่นอนว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ในญี่ปุ่น มันก็ต้องมีเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นถูกบรรจุเอาไว้ในนี้ด้วย (ถ้าไมมีก็ไม่มีจุดต่างน่ะสิ) ซึ่งเขาก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นอยู่มากมาย ทั้งเรื่องประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เรียกว่าใครที่ชอบเรื่องราวของประเทศญี่ปุ่นนั้นไม่ควรพลาดที่จะมาเยี่ยมชมที่แห่งนี้เลยล่ะ
ชมโรงงานผลิตสาเกที่โรงงานมุโฮมัตสึ
เป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่เหล่าคนชอบดื่มนั้นชื่นชอบกันเป็นอย่างมากเลยทีเดียว สำหรับเหล้าสาเกญี่ปุ่น แต่ว่าหลายคนยังไม่เคยได้มาเห็นว่าเหล่าโรงงานที่ผลิตนั้นมันจะมีหน้าตาอย่างไร ก็เลยจะพามาชมกันจ้า
โรงงานมุโฮมัตสึนั้นเป็นโรงงานผลิตเหล้าสาเกที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากและเก่าแก่เป็นอันดับที่สามในคิตะคิวชู และในปัจจุบันก็เป็นหนึ่งในสองของโรงงานผลิตเหล้าสาเกในคิตะคิวชู จุดเด่นของโรงงานแห่งนี้ก็คือเขาจะใช้วัตถุดิบในท้องที่มาทำการผลิตเหล้าสาเก มีพนักงานเพียงแค่ 7-8 คนเท่านั้น แต่ในบางช่วงก็จะมีนักศึกษามหาวิทยาลัยมาขอฝึกงานและช่วยงานกับที่นี่
โรงงานมุโฮมัตสึนั้นผลิตเหล้าสาเกอยู่หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นนิฮงชู, โชจู และอุเมะชู โดยเหล้าสาเกที่มีชื่อเสียงของโรงงานแห่งนี้ก็คือเหล้าโชจูนั่นเอง ส่วนประกิบที่สำคัญของเหล่าโชจูนั้นก็คือมันเทศนั่นเอง ซึ่งที่นี่ก็เลือกใช้มันเทศที่ปลูกในจังหวัดคิตะคิวชูที่มีคุณภาพดี โดยเมื่อได้มันเทศมาแล้วก็ต้องนำมาทำการล้างแล้วก็ทำการปอกเปลือกออกให้เรียบร้อย
ขั้นตอนการผลิตเหล้าโชจู ในวันแรกนั้นก็จะนำมันที่นึ่งเวร็จเรียบร้อยแล้วมาทำการใส่เชื้อหมักทิ้งไว้ จากนั้นก็นำส่าเหล้าไปทำการบ่มซึ่งต้องทิ้งช่วงเวลาไว้ประมาณหนึ่งแล้วจึงนำมาทำการต้ม เสร็จสิ้นกระบวนการผลิตต่อรอบแล้วจะกินเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ จึงจะสามารถดื่มได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทางโรงงานบอกว่าควรจะเก็บไว้อย่างน้อย 3 เดือนถึง 1 ปีที่จะมีรสชาติที่ดี โดยการทำเหล้าสาเกนั้นเขาก็จะทำกันตลอดทั้งปียกเว้นแค่ช่วงฤดูร้อน
สำหรับโชจูต่างๆ ที่มีราคาแตกต่างกันนั้น มันต่างกันเนื่องจากความพิถีพิถันในการทำ อย่างเช่นการขัดสีข้าว อันนี้ก็ไม่อาจจะทราบถึงความแตกต่างของมันได้จริงๆ เนื่องจากไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้ แต่ว่าก่อนที่เราจะควักเงินจากกระเป๋าเพื่อซื้อ เขาก็จะมีให้ทดลองชิมก่อนที่จะตัดสินใจด้วย
อุทยานแห่งชาติฮิระโฮได
สุดยอดวิวธรรมชาติแสนงามที่ถ้ามาคิตะคิวชูต้องไม่พลาดเป็นอันขาด สำหรับอุทยานแห่งชาติฮิระโฮได มีความกว้างขวางถึง 22 เฮกเตอร์ในแต่ละปีจะมีผู้เข้าเยี่ยมชมประมาณ 1.3 ล้านคนต่อปี มีลักษณะเป็นทิวเขาหินปูนที่มีความสลับสับซ้อนสวยงาม เนื่องจากเป็นพื้นที่มีหินปูนเยอะ จึงทำให้ที่คิตะคิวชูนี้เป็นแหล่งผลิตซีเมนต์ที่สำคัญในประเทศญี่ปุ่นถึง 1 ใน 8 อีกทั้งยังมีต้นสุสุกิที่สวยงามอีกด้วย ซึ่งต้นสุสุกิหลายคนอาจจะได้เคยเห็นจากพวกภาพถ่ายย้อนแสง นอกจากนั้นความสวยงามแล้วอากาศก็ยังสดชื่นด้วย
กว่าที่จะมาเป็นฮิระโฮไดแบบทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย เพราะในอดีตนั้นมีการฟ้องร้องกันมาเป็นเวลายาวนานระหว่างฝั่งอนุรักษ์และฝั่งอุตสาหกรรม กว่าจะตกลงกันได้ ซึ่งผลก็คือมีการแบ่งแยกโซนอุตสาหกรรมและโซนอนุรักษ์อย่างละครึ่ง ทำให้ยังเหลือความสวยงามให้คนรุ่นหลังได้ชมกันจนถึงทุกวันนี้
สำหรับใครที่ชอบลุยๆ หน่อยที่นี่ก็มีเส้นทางเดินเขาให้ได้มาปีนเขาสัมผัสธรรมชาติงดงามด้วยรวมถึงมีถํ้าหินย้อยด้านได้ให้ชมกัน
สวน Green Park
ใครที่ชอบพืชพรรณแมกไม้ให้ความสวยงามจิตใจสงบ ที่นี่เขาก็มีเหมือนกันนะ กับสวน Green Park เป็นสถานที่ยอดนิยมมากๆ แห่งหนึ่งที่เหล่าผู้คนจะมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมากทั้งคนญี่ปุ่นเองแล้วก็นักท่องเที่ยว อีกทั้งเด็กๆ อนุบาลก็ยังมาทัศนศึกษากันที่นี่มากมายเลยทีเดียว
สวน Green Park นั้นเป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในเมืองคิตะคิวชู ก่อตั้งเมื่อปี 1992 บนพื้นที่กว้างขวางถึง 200 เฮกเตอร์ รายล้อมไปด้วยดอกไม้มากมายที่จะสลับเปลี่ยนหมุนเวียนความสวยงามให้ชมได้ตลอดทั้งปี ซึ่งช่วงที่ผู้เขียนไปนั้นเป็นช่วงที่ดอกคอสมอสกำลังบานสวยงามสะพรั่งเลยทีเดียว มีผู้เข้าชมเฉลี่ยถึง 10,000 คนต่อวันและพีคสุดๆ อยู่ที่ 20,000 คนเลยทีเดียว
ความดีงามของที่นี่ไม่ใช่เพียงให้มาเดินกันขาลากชมดอกไม้อย่างเดียว เพราะว่าเขามีสนามหญ้าอันกว้างขวางถึง 4 เฮคเตอร์ให้เหล่าผู้คนได้เขามาปิกนิกกันได้ ปูเสื่อนั่งกินดื่มทามกลางธรรมชาตินี่แจ๋วเลยทีเดียว โดยเฉพาะช่วงที่ซากุระบาน นอกจากนี้ก็ยังมีเวทีสำหรับทำกิจกรรมต่างๆ มีที่นั่งรองรับถึง 1,000 คนเลย
เม้ามอยโฟ่วแตกกันมาพอสมควร จุดเด่นของที่นี่เลยก็คือสวนกุหลาบนั่นเองจ้า (สวนกุหลาบจริงๆ นะ ไม่ใช่ชื่อโรงเรียนแต่อย่างใด) เพราะว่าเขามีพันธุ์กุหลาบมากมายถึง 320 ชนิด 2,500 ต้น บานสวยงามสลับสับเปลี่ยนไปมาตลอดทั้งปี ซึ่งกุกลาบสีม่วงที่หาดูได้ยาก ก็มีให้ชมกันที่สวน Green Park แห่งนี้ด้วย รายล้อมด้วยดอกกุหลาบเป็นอะไรที่สวยงามผ่อนคลายดีจริงๆ
อีกส่วนหนึ่งก็คือในส่วนของเรือนกระจกนั่นเองจ้า ภายในนั้นได้มีพันธุ์ไม้ต่างๆ ปลูกเอาไว้ รวมถึงสัตว์มากมาย ส่วนใหญ่ก็จะเลี้ยงไว้โดยปล่อยอิสระ แต่ก็มีบางตัวที่ต้องเลี้ยงไว้ต่างหาก อันนี้สำหรับคนไทยอาจจะค่อนข้างเฉยๆ เพราะส่วนใหญ่จะเป็นพืชและสัตว์เขตร้อนซึ่งก็ไม่ได้หาชมได้ยากเลยในเมืองไทย (ตอนเดินเข้าไปนี่แบบว่าร้อนได้อีก อย่างกับอยู่เมืองไทย ฮ่าๆ)
ชมทิวทัศน์ยามคํ่าคืนของคิตะคิวชูอันแสนโรแมนติก
การชมวิวสวยๆ ถือว่าเป็นสิ่งที่จะขาดไปเสียไม่ได้เลยทีเดียว เราก็เลยจะพามาจุดชมวิวที่ได้รับความนิยมมากๆ แห่งหนึ่งไม่ว่าจะเป็นทั้งชาวต่างชาติรวมถึงประเทศญี่ปุ่นด้วย นั่นก็คือจุดชมวิวบนเขาซาระคุระนั่นเองจ้า
เมื่อมาถึงแล้วก่อนที่เราจะได้ชมวิวอันสวยงาม เราก็ต้องนั่งกระเช้าโรปเวย์ขึ้นกันไปเสียก่อน ซึ่งทางขึ้นก็ชันมากๆ จุดอ่อนของโรปเวย์หลายๆ ที่เลยก็คือเมื่อขึ้นเขาในแนวดิ่งมากๆ มักจะไม่ค่อยเห็นอะไรมาก ดังนั้นโรปเวย์ของที่นี่เขาก็ได้ทำเป็นกระจกอยู่รอบได้ไม่เว่นแม้แต่หลังคา ให้ชมความสวยงามของป่าไม้ธรรมชาติกันตั้งแต่นั่งขึ้นกันไปเลยทีเดียวล่ะ
เมื่อถึงที่หมายแล้ว ทุกคนก็ดีใจ เย้ เราจะได้ชมอะไรสวยๆ แล้ว แต่แล้วก้มีเสียงเรียกของพนักงานนำชมว่า ยัง ยังไม่ใช่จุดนี้ เราต้องนั่งสโลปคาร์ขึ้นต่อไปอีก ห๊ะ ตรงนี้ก็โอเคแล้วนะ เรายังต้องขึ้นไปกันอีกเรอะ เอ้อ ว่าไงก็ว่าตามล่ะ จัดแจงขึ้นสโลปคาร์ต่อขึ้นไปด้านบนอีก
พอขึ้นไปถึงจุดชมวิวด้านบนแล้ว โอ้ วิวดีวิวสวยกว่าเดิมจริงๆ เราสามารถมองเห็นเมืองคิตะคิวชูได้สุดลูกหูลูกตา ที่ต้องมากันเย็นๆ คํ่าๆ แบบนี้ก็เพราะว่าการชมวิวที่สวยที่สุดก็คือแสงไฟยามคํ่าคืนของเมืองคิตะคิวชูนี่แหละ อากาศข้างบนก็เย็นสบายเนื่องจากอยู่ในที่สูง วิวก็สวย ที่นี่จึงเป็นจุดที่หนุ่มสาวคู่รักชาวญี่ปุ่นนิยมขึ้นมาโรแมนติกจู๋จี๋ดู๋ดี๋กันล่ะ แหม่ ไอ้เราคนโสดเห้นแล้วมันก็เจ็บจี๊ด 555 น่าเสียดายที่วันที่ได้ขึ้นไปชมนั้นมีหมอกอยู่เล็กน้อย เลยทำให้ไม่ได้รับความสวยงามกันได้อย่างเต็มที่ แต่แค่นี้ก็สวยงามมากๆ แล้ว จะให้ดีควรมาเที่ยวกันในช่วงหน้าร้อนฟ้าโปร่งก็จะดีจ๊ะ
ชมวิวัฒนาการของสุขภัณฑ์ที่โตโต้มิวเซี่ยม
พูดถึงประเทศญี่ปุ่น อีกหนึ่งสิ่งที่ใครหลายคนที่ได้ไปเที่ยวชอบมากๆ ก็คือโถสุขภัณฑ์อัจฉริยะนี่แหละ ต่อให้ไปที่กันดาลเสียขนาดไหน โถสุขภัณฑ์ก็ยังดีงามอยู่เสมอทุกที่ ซึ่งผู้ผลิตรายใหญ่ของญี่ปุ่นนั่นก็คือ โตโต้ หรือ TOTO นั่นเอง ซึ่งที่คิตะคิวชูนี้ก็มีโรงงานและพิพิธภัณฑ์ของโตโต้ตั้งอยู่ด้วยจ้า
บริษัทโตโต้นั้นมีประวัติมายาวนั้น ก่อตั้งเมื่อปี 1917 ซึ่งอีกแค่สองปีก็จะมีอายุครบ 100 ปีแล้ว ซึ่งได้มีการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ขึ้นมาเพื่อฉลองครบรอบ 100 ปีล่วงหน้า โดยโตโต้นั้นถือว่าเป็นสุขภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีประหยัดน้ำอันดับ 1 ของโลก เป็นความภาคภูมิใจของชาวญี่ปุ่นเลยทีเดียว ซึ่งนโยบายของบริษัทนั้นนอกจากจะพัฒนาเทคโนโลยีให้ก้าวลํ้ากว่าใครเพื่อนแล้วยังให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกด้วย ซึ่งเขาก็ออกแบบพิพิธภัณฑ์ภายใต้คอนเซ็ปนี้จนได้รับรางวัล Casbee ระดับ S rank ซึ่งเป็นรางวัลเกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วย
แต่เดิมบริษัทโตโต้นั้นมีชื่อว่า Morimura Gumi ตอนนั้นเองยังไม่ได้ธุรกิจเกี่ยวกับด้านนี้เลย เริ่มจากการส่งออกพัดและชุดกิโมโนทำการค้าขายกับชาติตะวันตก จากนั้นก็เลยมีการศึกษาทำกระเบื้องแล้วพบว่าชาวต่างชาตินั้นเขานำกระเบื้องไปทำเป็นโถสุขภัณฑ์ก็เลยไปศึกษาและนำมาเผยแพร่ในญี่ปุ่น แต่ว่าในสมัยนั้น ระบบสาธารณูปโภคของประทเศญี่ปุ่นยังไม่เอื้ออำนวย ก็เลยทำพวกเครื่องชามก่อน และหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองจึงเริ่มทำโถสุขภัณฑ์อย่างเต็มกำลัง
เครื่องจานชามแสนสวยงาม เสียดายตอนนี้เลิกผลิตไปแล้วจ้า
โถสุขภัณฑ์ตัวแรกของโตโต้
ต่อมาก็มีโซนที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการทำโถสุขภัณฑ์ ซึ่งต้องทำการบดดินและใช้วัตถุดิบจำนวนมากในการทำเป็นกระเบื้องลงในพิมพ์ และต้องมีขั้นตอนที่ต้องใช้มือคนในการทำอยู่ เช่นส่วนโค้งเว้าในโถ จากนั้นก็ต้องนำมาเผาซํ้าอีกครั้งศิริเวลารวม 1 วันเต็มๆ
นอกเหนือจากนี้ ภายในก็ยังมีโซนความรู้ต่างๆ ที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นปรัชญาน่าสนใจของผู้บริหาร และวิวัฒนาการของการใข้สุขภัณฑ์ของประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมถึงเทคโนโลยีที่ทำให้โตโต้นั้นเป็นเบอร์หนึ่งในเรื่องของสุขภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีประหยัดน้ำอันดับ 1 ของโลก เป็นแหล่งความรู้น่าสนใจที่ไม่น่าจะมีที่ไหนบนโลกนี้อีกแล้ว
เรื่องราวของวิวัฒนาการในการใช้สุขภัณฑ์ของชาวญี่ปุ่นตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
เจ้าแรกของโลกที่ใช้นํ้าเพียง 3.8 ลิตรในการทำความสะอาด
Manga Museum แหล่งรวมประวัติศาสตร์การ์ตูนญี่ปุ่น
ที่แห่งนี้เชื่อว่าจะต้องถูกใจเหล่าผู้ที่รักการ์ตูนญี่ปุ่นกันอย่างแน่นอน กับ Manga Musuem ที่รวมสิ่งน่าสนใจมากมายเกี่ยวกับการ์ตูนญี่ปุ่นที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน มาปุ๊บมีครบจบที่นี่กับทุกสิ่งอย่างเกี่ยวกับการ์ตูนญี่ปุ่น
ส่วนแรกที่จะพามาชมเลยก็คือในส่วนโซนความรู้ รวมประวัติของการ์ตูนญี่ปุ่น เข้าไปปุ๊ปสิ่งแรกที่เราจะเห็นเลยก็คือเจ้าการ์ตูนเรื่อง Galaxy Express 999 หรือที่บ้านเราเรียกว่ารถด่วน 999 เป็นการ์ตูนที่ค่อนข้างเก่ามาก เด็กๆ สมัยนี้อาจจะไม่ค่อยรู้จักกัน เนื่องจากคุณ Leiji Matsumoto ที่เป็นผู้วาดการ์ตูนเรื่องนี้มีบ้านเกิดอยู่ในจังหวัดฟุกุโอกะหรือในเกาะคิวชูนั่นเอง
ด้านในนั้นก็จะมีการจัดแสดงพร้อมบอกเรื่องราวความเป็นมาของการ์ตูนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งการมีวิวัฒนาการที่น่าสนใจมากๆ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของลายเส้นหรือขั้นตอนการวาดการผลิตต่างๆ ซึ่งแต่ก่อนยังไม่มีเครื่องไม้เครื่องมืออะไรมากมายนัก ดังนั้นการที่ทำอนิเมชั่นออกมาเรื่องหนึ่งได้ต้องใช้ความมานะพยายามเป็นอย่างมาก ดังนั้นคนสมัยก่อนจึงได้รับการเคารพยกย่องจากเหล่าในเขียนในยุคสมัยถัดมา
โต๊ะทำงานของนักวาดสมัยก่อน มือล้วนๆ จ้า
การวาดการ์ตูนเรื่องหนึ่งไม่ใช่ว่าใครๆ ก็สามารถทำได้ เพราะเขาต้องมีหลักการในการวาดต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการวาดสีหน้าตัวละคร, เอฟเฟคต์แสดงความเคลื่อนไหว, การใช้คำแทนเสียง รวมไปถึงการลำดับเหตุการณ์ในแต่งละช่อง ซึ่งทฤษฎีเหล่านี้ก็จะมีจัดแสดงให้เราได้ศึกษากันด้วย
ในส่วนต่อมาก็จะเป็นไทม์ไลน์ของหนังสือการ์ตูนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทางเจ้าหน้าที่เขาบอกว่าถ้าเราเดินเขาไปแล้วทำท่าทางรู้จักการ์ตูนเรื่องไหน จะถือว่าเป็นการบอกอายุโดยอัตโนมัติเลยทีเดียว ฮ่าๆๆ นอกจากนี้ก็ยังมีโซนสำหรับอ่านหนังสือการ์ตูน ที่ได้รวบรวมหนังสือการ์ตูนนับพันนับหมื่นเล่มตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้นั่งอ่านกันสบายๆ ใครคิดถึงเรื่องไหนที่ไม่สามารถหาอ่านได้แล้วในปัจจุบัน ที่นี่มีให้อ่านกันอย่างแน่นอน
อีกส่วนหนึ่งที่อยู่ด้านล่างของตึกก็คือส่วนที่จำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับการ์ตูนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือการ์ตูน, อนิเมชั่น รวมไปถึงพวกของที่ระลึกต่าง, ฟิกเกอร์และวิดีโอเกม เรียกได้ว่าไม่ต้องถ่อไปถึงอากิฮาบะระ ก็สามารถซื้อของพวกนี้ได้อย่างเต็มอิ่มเลยทีเดียว นับว่าเป็นสถานที่ในฝันที่คนรักการ์ตูนไม่ควรพลาดกันเลยทีเดียวเชียวล่ะ
ลิ้มอาหารไคเซกิในบรรยากาศสุดพิเศษ
อาหารประเภทไคเซกิหลายคนอาจจะเคยได้ลองทานกันมาบ้างแล้ว เป็นอาหารคอร์สญี่ปุ่นที่เรียกว่าใช้ความปราณีตพิถีพิถันในการปรุงเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการตกแต่งจานหรือว่าเรื่องรสชาติ แต่บางคนอาจจะรู้สึกไม่ค่อยอิ่มเพราะว่ามันน้อยและราคาเจ็บอยู่นิดๆ
ถึงไม้ว่าอาหารไคเซกิจะมีอยู่ทั่วไปในประเทศญี่ปุ่น แต่ว่าการที่ได้ทานอาหารพร้อมกับวิวทิวทัศน์อันสวยงามงั้นไม่ได้หาได้ทุกที่แน่นอน ซึ่งในคิตะคิวชูนี้ก็มีร้านอาหารประเภทนี้อยู่มากมายท่ามกลางบรรยากาศอันสวยงาม ถึงอาหารจะไม่อิ่ม แต่ว่าอิ่มอกอิ่มใจกันอย่างเป็นแน่แท้ ฉะนั้นใครที่ชอบทานบรรยากาศควบคู่กับทานข้าว ที่นี่ก็ถือว่าเหมาะเลยทีเดียว
ร้านโชยุสุดแปลก นำมาราดกับนํ้าแข็งไสทาน
ในทริปนี้เราก็ได้มีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยียนร้านขายโชยุที่มีชื่อว่า โกโต้ โชยุ หลายคนอาจจะงงว่า ร้านโชยุนั้นมันมีดีอะไร จริงๆ แล้วในปัจจุบันร้านที่ผลิตโชยุจำหน่ายเองนั้นถือว่าเหลือน้อยมากๆ แล้วในประเทศญี่ปุ่น เพราะว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ 5 บริษัท ได้ทำการผลิตโชยุเป็นอัตราส่วนถึง 50% ของทั้งประเทศ ที่เหลืออีก 50% มาจากร้านเหล่านี้ที่ปัจจุบันเหลือเพียง 1,500 ร้านในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้นเอง
ร้านโกโต้ โขยุนั้นก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1913 ถือว่าเป็นร้านที่เก่าแก่มากๆ และปัจจุบันเจ้าของร้านก็สืบทอดกันมาถึงรุ่นที่ 3 แล้วที่นี่มีการผลิตโชยุมากมายถึง 9 ชนิดด้วยกัน และที่แปลกมากเลยก็คือ มีโชยุสำหรับราดในนํ้าแข็งไสด้วย นับว่าเป็นของแปลกที่ทางร้านอยากพรีเซ็นต์ให้กับคนไทยได้ลอง นึกๆ ดูแล้วอาจจะอี๋ แต่จริงๆ แล้วเจ้าโชยุนี้มันถูกปรุงมาเป็นพิเศษ มีรสหวาน แต่ก็ยังมีรสโชยุอยู่ ซึ่งลองทานไปมันก็รสชาติแปลกๆ อยู่พอสมควร ถ้ามีขายในไทยอาจจะขายไม่ค่อยดีกันเท่าไหรมั้ง 5555
ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ ถือว่าเป็นประสบการณ์สุดประทับใจจริงๆ ในเมืองคิตะคิวชูที่แอบซ่อนเสน่ห์และสิ่งน่าสนใจเอาไว้มากมาย ใครที่มีโอกาสได้แวะเวียนมาเที่ยวที่เกาะคิวชู ขอบอกเลยว่าไม่ควรพลาดที่นี่อย่างเด็ดขาดจ้า