ฆาตกรไร้หน้า คดีฆาตกรรมครอบครัวมิยาซาวะ

ฆาตกรไร้หน้า


ใครฆ่าครอบครัวมิยาซาวะ? เป็นพวกนักสเก็ตขี้โมโห? นักฆ่ามืออาชีพ? แม้ว่าคดีจะผ่านมานานขนาดนี้ แต่ก็ยังไม่สามารถจับตัวคนร้ายที่ก่อคดีได้…



คืนช่วงสิ้นปีคือหนึ่งในโอกาสสำคัญที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสแห่งการอะไรใหม่ ๆ และต้อนรับการเริ่มต้นใหม่ 

มันเป็นช่วงฤดูหนาวที่หนาวจัด ในแขวงเซตากายะของโตเกียว ภายในบ้านหลังหนึ่งที่มีสมาชิกครอบครัวอยู่ 4 คน คือ เด็กหญิงนีน่า อายุ 8 ปี น้องชายของเธอเรอิ และพ่อแม่ของพวกเขาคือ คุณมิคิโอะกับคุณยาสุโกะ กำลังจัดเตรียมงานฉลองวันสิ้นปีอยู่กันที่บ้าน

แต่ทว่าไม่มีใครคาดคิดเลยว่าครอบครัวมิยาซาวะจะไม่มีโอกาสได้เฉลิมฉลองอีกตลอดกาล…

เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม ปี 2000 ได้เกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมทั้ง 4 คน อย่างน่าสยดสยอง ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นอาชญากรรมที่สร้างความตกใจให้กับญี่ปุ่น และถือเป็นการเริ่มต้นอาชญากรรมบทใหม่ให้กับประวัติศาสตร์ของประเทศเลยก็ว่าได้

แม้ทางตำรวจจะมีรายละเอียดของทางฆาตกรอยู่มาก แต่ก็ไม่สามารถระบุตัวตนและทราบสาเหตุของการลงมือฆาตกรรมของคนร้ายได้ หลักฐานที่คนร้ายทิ้งร่อยรอยไว้มีทั้ง
1.DNA

2.เสื้อผ้าที่ทิ้งเอาไว้ในที่เกิดเหตุ

3.อาวุธที่ก่อเหตุ

4.การใช้คอมพิวเตอร์ของเหยื่อ

5.กินไอศกรีมอย่างน้อย 4 แท่ง จากตู้แช่แข็งของเหยื่อ

และการที่เขาใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่ภายในบ้านหลังจากกระทำการฆาตกรรมยกครัวแล้ว

โดยทางเจ้าหน้าที่สืบสวนเกือบ 250,000 คน การทำงานในคดีนี้ได้รับข้อมูลจากประชาชนมากกว่า 15,000 คน

เกือบสองทศวรรษที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าทางเจ้าหน้าที่ก็ยังไม่สามารถไขคดีอาชญากรรมนี้ได้ ซึ่งเป็นคดีที่พบยากในประเทศที่มีสงบสุขแบบนี้

ทำไมเขาถึงฆ่าพวกเด็ก?




นีน่าเป็นเด็กสาวฉลาดและแข็งแรง อายุ 8 ปี เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 คุณย่าเซทรึโกะ เธอจำได้ดีว่าหลานสาวรักการเต้นบัลเล่ย์มากแค่ไหน

คุณยาย : “นีน่าชอบที่จะแสดงท่าทางของเธอให้ฉันดู เธอเป็นเด็กที่สดใสและน่ารัก” 

คนต่อมาคือ เรอิ น้องชายวัย 6 ปี ของนีน่า แต่เรอิมีความบกพร่องทางสติปัญญา เขาจึงถูกรายล้อมไปด้วยความรักและการเอาใจใส่จากพ่อแม่

พ่อของพวกเขา คุณมิคิโอะทำงานให้กับทางบริษัททางการตลาด ส่วนแม่คือคุณยาสุโกะทำงานเป็นคุณครู

โดยทางเจ้าที่ตำรวจสันนิฐานว่าในวันเกิดเหตุ พวกเขาออกไปซื้อของและใช้เวลาพักผ่อนที่บ้าน รับประทานอาหารเย็นและดูโทรทัศน์ด้วยกัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ยังคงสร้างความสับสนอย่างมากให้กับนักสืบจนถึงปัจจุบันนี้



ครอบครัวนี้อาศัยอยู่ติดกับบ้านของคุณยายฮารุโกะ เช้าวันรุ่งขึ้นคุณยายไม่สามารถติดต่อคนในครอบครัวผ่านทางโทรศัพท์ได้เหมือนอย่างเคย เพราะถูกตัดสัญญาณการเชื่อมต่อ นั่นคือสัญญาณแรกที่บ่งบอกถึงความผิดปกติ เธอจึงตัดสินใจเดินไปเคาะประตูบ้านของพวกเขา แต่ก็ไม่มีการตอบรับ

เธอจึงเปิดประตูออกเข้าไปก็พบลูกเขยของเธอ มิกิโอะสภาพนั่งทรุดตัวลงบริเวณด้านล่างของบันไดใกล้หน้าประตู ร่างที่ไร้วิญาณของเขามีร่องรอยการถูกแทงอยู่หลายครั้ง คุณยายฮารุโกะจึงขึ้นไปชั้นบน ซึ่งเธอพบร่างของลูกสาวและหลานสาวของเธอถูกแทงอย่างน่าสยดสยองด้วยมีดทำซาชิมิ เธอสัมผัสตัวพวกเขา พยายามจะค้นหาสัญญาณชีพจร



ทางตำรวจสันนิฐานวว่าฆาตกรยังกระหน่ำแทงนีน่าและยาสุโกะซ้ำ ๆ ทั้ง ๆ ที่เหยื่อเสียชีวิตแล้วแล้ว ส่วนในห้องนอนข้าง ๆ คุณยายฮารุโกะพบร่างเรอิ วัย 6 ปี นอนอยู่บนเตียงของเขา สภาพศพเขาถูกบีบคอจนเสียชีวิต

ตำรวจสันนิฐานว่าเขาถูกฆ่าเป็นคนแรก โดยไม่ได้รับรู้ชะตากรรมอันโหดร้ายที่พี่สาวและพ่อแม่ต้องทนทรมาน จากนั้นคุณยายฮารุโกะจึงโทรแจ้งตํารวจร่างกายของเธอเปื้อนไปด้วยเลือดของผู้เสียชีวิต

เมื่อคุณย่าของเด็ก ๆ รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นเธอถึงกับตกใจช็อคและเป็นลมหมดสติไป



 

คุณย่าเซทซึโกะยังคงเก็บแผ่นป้ายบูชาของพวกเขาไว้ในบ้านและอธิฐานถึงพวกเขาอยู่เสมอ เธอเก็บของเล่นทั้งหมดจัดแสดงไว้ในตู้ "ฉันสงสัยอยู่เสมอว่าถ้าพวกเขาเติบโตขึ้นมาได้อย่างไร ความเสียใจที่สุดในชีวิตของฉันคือฉันไม่เคยมีโอกาสที่จะเห็นพวกเขาเติบโตขึ้น" เธอกล่าว

เธอยังจำงานศพของครอบครัวไม่ได้ เธอบอกว่าเธอบอบช้ำมากจนเดินต่อไปไม่ไหวและต้องมีคนอุ้มเข้าไปข้างในงาน "ทำไมพวกเขาถึงฆ่าเด็ก ๆ ด้วย ถ้ามีคนแค้นพวกเขานัก ก็ฆ่าแค่พวกผู้ใหญ่ก็ได้นี่" เธอกล่าว “ฉันไม่เข้าใจว่าทำไม ฉันไม่เข้าใจจริงๆ”

นักสืบที่ถูกหลอกหลอนด้วยใบหน้าของผู้เสียชีวิต




เป็นคำถามที่ยังคงฝังอยู่ในใจของหัวหน้าทีมตำรวจที่เกษียณแล้ว คุณทาเคชิ สึชิดะวัย 72 ปี ซึ่งมีบทบาทสำคัญในคดีนี้และไม่สามารถปล่อยวางเรื่องนี้ได้

กว่า 41 ปีที่เขาได้ปฎิบัติหน้าที่เป็นเจ้าพนักงาน เขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าทีมประจำสถานีตำรวจเซจิโย  ซึ่งเป็นทีมที่ได้รับมอบหมายให้สืบสวนคดีฆาตกรรมของครอบครัวมิยาซากิ เขายังคงจดจำใบหน้าของศพผู้เสียชีวิตที่ตามหลอกหลอนเขาได้เป็นอย่างดี

“คุณจะสามารถเปรียบเทียบของศพที่ตายโดยธรรมชาติ กับ ศพที่ถูกฆาตกรรมได้ไม่ยาก พวกเขาแตกต่างกันมาก” เขากล่าว

"สีหน้าของพวกเขาทั้งโกรธและเสียใจ ผมเสียใจที่ต้องจินตนาการว่าเหยื่อทุกคนก็คงต้องรู้สึกแบบเดียวกัน ผมรู้สึกเสียใจจริง ๆ " แม้ว่าเขาจะเกษียณไปแล้ว 12 ปี แต่เขาก็ยังไขคดีฆาตกรรมบ้านเซตากายะ(ครอบครัวมิยาซากิ)ต่อไปอยู่เรื่อย ๆ 

“เมื่อคิดถึงความรู้สึกของครอบครัวเหยื่อที่ต้องเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปอย่างกะทันหัน ผมไม่สามารถส่งต่อคดีนี้ให้กับคนอื่น ๆ ได้ หลังจากที่พยายามไขคดีมากว่า 41 ปี” เขากล่าว

"ผมจะทำอย่างไรได้ ในฐานะพลเรือนผมไม่สามารถทำการสอบสวนหรือใส่กุญแจมือคนร้ายได้อีกต่อไปแล้ว แต่ผมมีความรู้เกี่ยวกับคดีนี้อยู่มาก ดังนั้นผมจึงทำใบปลิวเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม" เขาไปที่เกิดเหตุเป็นประจำและพยายามคุ้นเคยกับรายละเอียดต่าง ๆ ในพื้นที่ให้มาก



แต่ก็มีบางรายละเอียดที่เขาจะไม่สามารถลืมมันลงได้เลย “เมื่อผมคิดถึงความโหดเหี้ยมที่เขาสังหารทั้งสี่คน ผมสงสัยว่าคนสติดี ๆ สามารถก่ออาชญากรรมที่รุนแรงขนาดนี้ได้อย่างไร?" เขากล่าว "มันฟันพวกเขาจากเหนือหน้าอก ไล่ไปที่ใบหน้าราวกับว่ามันพยายามทรมานพวกเขา มันโหดร้ายมาก"

"และวิธีที่เขาทำให้พวกเขาสิ้นใจลง ... [มันน่าสยอดสยองมาก] เราไม่สามารถแสดงรอยแผลเหล่านั้น ให้กับครอบครัวของเหยื่อได้ ไม่มีเคสใดที่เหยื่อถูกสับเป็นชิ้นอย่างนี้" เขากล่าว ตำรวจมีเบาะแสมากมายเกี่ยวกับตัวตนของฆาตกรและสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้น

เจ้าหน้าที่บางคนเชื่อว่าฆาตกรปีนขึ้นไปบนต้นไม้แล้วแอบเข้าไปทางหน้าต่างที่เปิดอยู่ของห้องน้ำชั้นสอง แต่จุดที่เป็นทางเข้าก็จริง ๆ ยังไม่ชัดเจนนัก บ้านของพวกเขาได้รับการสนับสนุนให้เป็นสวนสาธารณะ Soshigaya ทำให้ฆาตกรสามารถแอบเข้าบ้านได้หลายจุด



พวกเขามีลายนิ้วมือและดีเอ็นเอของฆาตกร ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่ได้มีบันทึกไว้เป็นฐานข้อมูลตำรวจโตเกียว พวกเขารู้ว่าเสื้อสเวตเตอร์ที่ฆาตกรทิ้งนั้นผลิตและขายเพียง 130 ตัว แต่เจ้าหน้าที่สามารถติดตามผู้ที่มีเสื้อสเวตเตอร์ได้เพียง 12 คนเท่านั้น 

พวกเขายังมีตัวอย่างเลือดของฆาตกร ที่อาจจะระบุได้ว่าฆาตกรเป็นผู้ชายและมีแนวโน้มว่าจะเป็นลูกครึ่งเกาหลีหรือจีน อีกทั้งรอยรองเท้าของฆาตกรคาดว่ารองเท้าอาจจะผลิตในเกาหลีเพราะในประเทศญี่ปุ่นไม่มีขาย โดยทางเจ้าหน้าที่ยังเชื่อว่าฆาตกรเป็นคนผอมเพราะกระเป๋ากางเกงด้านหลังได้ระบุไซส์เอวไว้ที่ 70 - 75 เซนติเมตร และยังตรวจสอบได้ว่าฆาตกรกินถั่วฝักยาวกับงาเมื่อวันก่อนเพราะเขาทิ้งอุจจาระไว้ในห้องน้ำ

คดีนี้กินเวลายาวนานมากว่า 19 ปี แม้จะมีหลักฐานทั้งรอยนิ้วมือหรือดีเอ็นเอของฆาตกร แต่ทำไมยังไม่สามารถตามหาฆาตกรเจอ? 

นี่คือความสงสัยของคุณทาเคชิ ทรึจิดะ สำหรับอดีตหัวหน้าตำรวจที่มีคำถามมากมายที่ยังไม่ได้รับคำตอบ

"ทำไมเขาถึงเข้าไปในห้องที่มีแสงไฟ เราค่อย ๆ มองตามการกระทำและคิดตาม ทำไมล่ะ เพื่อเงิน? หรือมีเรื่องโกรธแค้นอะไรครบครัวนี้ หรือมันเป็นเพราะเหตุผลอื่นกันแน่?

จะจับฆาตกรไร้หน้าอย่างไร?




เนื่องจากการสืบสวนไม่สามารถหาแรงจูงใจของฆาตกรได้ตำรวจจึงไม่สามารถจำกัดขอบเขตให้แคบลงได้ โดยจากคำให้ในการสืบสวนระบุว่าเคยมีผู้พบเห็นคุณมิคิโอะโต้เถียงกับนักเล่นสเก็ตที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน นี่จะใช่สาเหตุไที่นำไปสู่การฆาตกรรมหรือไม่?

เสื้อผ้าและอายุของฆาตกรยังเป็นที่สงสัย อาจจะบ่งบอกวได้ว่านักเล่นสเก็ตที่ไม่พอใจกับเสียงบ่นของเพื่อนบ้านที่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับของเขา แต่ก็ยังมีทฤษฎีอื่น ๆ ที่แปลกกว่านั้น

คุณฟูมิยะ อิจิฮาชิ นักข่าวสืบสวนใช้เวลาหลายปีในการค้นคว้าคดีนี้และได้เขียนหนังสือสรุปว่าฆาตกรเป็นอดีตทหารของกองทัพเกาหลีใต้ที่ผันตัวมาเป็นนักฆ่า เขาเชื่อว่าการขโมยเงินที่ครอบครัวได้รับจากหนึ่งในแรงจูงใจของฆาตกรคือการพยายามที่จะขโมยเงินชดเชยที่จ่ายให้กับครอบครัวจากการขยายสวนสาธารณะในบริเวณใกล้เคียง

คุณอิจิฮาชิ ได้กล่าวว่า “ขณะที่คนร้ายได้ทิ้งมีด เสื้อผ้า กระเป๋าที่มีลายนิ้วมือ และรอยเท้า โดยไม่ได้สนใจ จนฉันอดคิดไม่ได้เลยว่าเขามั่นใจว่าจะไม่ถูกจับได้แน่ ๆ กับสิ่งที่ทิ้งร่องรอยไว้” 

ผมคิดว่าอาชญากรไม่ใช่คนญี่ปุ่น ไม่ได้อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นและเขาก็หลบหนีไปต่างประเทศทันที


เขาเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจล้มเหลวในการสอบสวนเบื้องต้น เขากล่าวว่า "เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นเจ้าหน้าที่สืบสวนพิเศษของตำรวจนครบาลโตเกียวล้วนทำงานในคดีที่แตกต่างกันและไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องส่งทีมสำรอง"  

“เนื่องจากเป็นวันส่งท้ายปีเก่านักสืบหลายคนก็อยู่ที่บ้านและต้องใช้เวลาในการส่งพนักงานสอบสวน เราไม่สามารถปฏิเสธความเป็นไปได้ที่สิ่งนี้ส่งผลให้คดียังไม่สามารถคลี่คลายได้"



คุณยายฮารุโกะผู้พบศพในตอนแรกให้การกับตำรวจว่าเธอไขประตูโดยใช้กุญแจสำรอง แต่ในปีต่อมาเธอเริ่มไม่แน่ใจ สิ่งนี้ยิ่งทำให้การยืนยันว่าฆาตกร เข้า-ออก อย่างไร? นั้นมียากขึ้นมาก

คุณอิจิฮาชิ ได้กล่าวว่า ทางตำรวจไม่สามารถยืนยันรายละเอียดพื้นฐานได้ แม้ว่าจะเป็นนักสืบที่เก่งแค่ไหนพวกเขาก็ไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้ "เว้นแต่จะมีปาฏิหาริย์ที่ฆาตกรจะยอมมอบตัวด้วยตัวเองหรือลายนิ้วมือของเขาตรงกับการก่ออาชญากรรมอื่น แต่ฉันเชื่อว่าเป็นไปได้ยากที่เขาจะถูกจับกุม" 

"ตำรวจญี่ปุ่นไม่มีความชำนาญในการสืบสวนร่วมกับต่างประเทศเนื่องขาดประสบการณ์และทักษะทางภาษา"



คุณทาเคชิ ทรึจิดะ ได้โต้แย้งกับมุมมองของผู้เขียน พร้อมกับกล่าวว่า 

"เป็นเรื่องที่ไร้สาระ 100 เปอร์เซ็นต์"

“ถ้าหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องจริง คงสามารถจับคนร้ายได้แล้ว มันก็จะไม่เป็นไรหรอกถ้าเรื่องนี้เป็นนิยายแต่ฉันเกรงว่ามันจะไม่ใช่นิยายน่ะสิ”

ผู้รับหน้าที่สืบคดีต่อ




ตอนนี้คดีอยู่ในมือของนักสืบที่อายุน้อยกว่าคุณทาเคชิซึจิดะ อยู่หลายสิบปีนั้น คือคุณมานาบุ อิเดะ  จากหน่วยสืบสวนพิเศษของตำรวจนครบาลโตเกียวมั่นใจว่าคดีนี้จะสามารถคลี่คลายได้ในที่สุด

โดยเขากล่าวว่า

“ฉันไม่คิดว่าจะมีนักสืบคนไหนไม่มั่นใจ”

"เป็นภารกิจของเราในการจับกุมคนร้ายที่สังหารผู้บริสุทธิ์ทั้ง 4 คนรวมถึงเด็กเล็ก 2 คนและให้เขาชดใช้ความผิดของเขา"

ผู้กำกับอิเดะ กล่าวว่า พนักงานสืบสวนต้องการช่วยหาความยุติธรรมให้แก่เหยื่อ

“มันเป็นคดีที่เลวร้ายที่แทบไม่เคยพบเจอมาก่อนในประวัติศาสตร์อาชญากรรมของญี่ปุ่น และเราคิดว่าการคลี่คลายคดีนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาชญากรรมลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นในอนาคตอีก "

ผู้สอบสวนที่ทำงานในช่วงคดีแรกได้เกษียณอายุแล้ว และความหวาดกลัวของทางครอบครัวก็กำลังหมดลง ในขณะนี้ทางตำรวจต้องการที่รื้อถอนบ้านที่เก็บรักษาไว้เป็นเวลา 19 ปี เนื่องจากเก่ามากและเสี่ยงต่อการพังทลาย 

ผู้กำกับอิเดะ กล่าวว่า พวกเขาจะเก็บรักษาหลักฐานที่เป็นไปได้ทั้งหมดไว้ภายใน ดังนั้นจะไม่มีผลกระทบต่อการสืบสวนหากบ้านถูกทำลายลง

อดีตหัวหน้าตำรวจคุณทรึจิดะกล่าวว่า

“ผู้คนใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยสัมผัสกับฉากอาชญากรรมกราฟิกนั้นสามารถมุ่งเน้นไปที่การสืบสวนได้หรือไม่?ฉันรู้สึกเป็นกังวล” 

แต่ถึงอย่างนั้นคุณทาเคชิ ทรึจิดะก็ยังเชื่อเพราะพวกเขามีดีเอ็นเอจึงคิดว่ามีความหวังที่จะพัฒนาอยู่เสมอ

เขายังคงติดต่อกับคุณเซทรึโกะ แม่ของคุณมิคิโอะ อย่างใกล้ชิด และเหมือนกับว่าล่าสุดที่ไปเยี่ยมบ้านย่าคือเตรียมอาหารไปให้ท่านด้วย หลังจากนั้นเขากล่าวสวัสดีและคุกเข่าลงที่ศาลเจ้าประจำตระกูลจุดธูปอธิษฐาน



สำหรับคุณเซทรึโกะแล้ว มันช่างเป็นความหวังล้ม ๆ แล้ง ๆ ว่าเธอคงจะได้คำตอบในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ “ตอนที่สามีฉันตาย คดีก็ยังไม่สามารถหาตัวคนร้ายได้ นั่นมันกวนใจพวกเรามาก” เธอกล่าว

ภาพของครอบครัวมิยาซาว่ายังคงแขวนไว้ที่ห้องของเธอ และเธอยังคงเฝ้ารอวันที่ได้บอกกับพวกเขาว่าตำรวจจับตัวคนร้ายได้ในสักวันหนึ่ง…



ที่มา www.abc.net.au/news