เมื่อพวกเราตัดสินใจพาลูกมาเรียนที่ญี่ปุ่น

วันนี้อยากจะมาแชร์ประสบการณ์ที่ครอบครัวเราตัดสินใจย้ายถิ่นฐานมาจากประเทศไทยเพื่อมาใช้ชีวิตในญี่ปุ่นตามสัญชาติสามี หลังจากที่อยู่ไทยกันมานาน ไปๆ กลับๆ ญี่ปุ่นทุกปีในช่วงปิดเทอม เราก็เริ่มคุยกันว่าจะพาลูกไปเรียนที่ญี่ปุ่นดีไหม เราคุยกันหลังจากเพิ่งกลับมาจากญี่ปุ่นเพียงไม่กี่วัน และก็ได้ข้อสรุปเพียงไม่กี่นาทีหลังจากปรึกษากันกับลูกด้วยว่าเราจะไปอยู่ญี่ปุ่นกัน มันเป็นการตัดสินใจที่กะทันหันมาก




พอตัดสินใจได้แล้ว เรารีบติดต่อโรงเรียนที่ไทย เพื่อขอใบจบการศึกษาและนำไปแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นสำหรับไปยื่นที่โรงเรียนในญี่ปุ่น(แต่สุดท้ายไม่ได้ใช้เลย เขาไม่ขอดู) แล้วเราก็เริ่มเก็บของ มันกะทันหันมาก สรุปทิ้งหมด ใช้เวลาในการจัดการทุกอย่างไม่ถึงอาทิตย์ ก่อนไปลาบ้าน ลาญาติพี่น้อง ลาประเทศไทย แล้วออกเดินทางกันทันที เรียกได้ว่า "ไปตายเอาดาบหน้า" ของแท้ เพราะตอนที่ไปทั้งเราและลูกชาย 11 ขวบ ยังไม่ค่อยได้ภาษาญี่ปุ่นเลย ฟัง พูด อ่าน เขียน คือไม่ถึง 10% เพราะสามีฟังและพูดไทยได้บ้าง เราจึงใช้ภาษาไทยเป็นภาษาหลักในบ้าน



ในที่สุดเราก็มาถึงญี่ปุ่น ปกติเคยแต่มาเที่ยวทุกปี อยู่ประมาณหนึ่งเดือนแล้วกลับ แต่ตอนนี้ต้องมาอยู่จริงๆ แต่น่าแปลกที่เราไม่มีความกังวลใจอะไรเลย คิดอย่างเดียวว่าทุกอย่างมันต้องไปได้ด้วยดี แต่มีแอบน้ำตาซึมตอนที่กล่าวฝากเนื้อฝากตัวกับแม่สามี พวกเรานั่งต่อหน้าแม่สามี และก้มโค้งคำนับพร้อมกล่าวว่า "โคเระกะระ โมะ โยโรชิคุ โอเนไกชิมัส" แปลเป็นไทยได้ว่า"ตั้งแต่นี้ต่อไป ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ" แล้วตอนโค้งน้ำตามันก็รื้นขึ้นมาแต่กลั้นเอาไว้ได้


แล้วเราก็เริ่มดำเนินการติดต่ออำเภอ ติดต่อโรงเรียน เราพาลูกเข้าโรงเรียนรัฐบาลใกล้บ้าน ที่นี่เขาดีมาก เขายินดีรับลูกเราเข้ากลางเทอม ชั้น ป.6 เทอม 2 และมีให้ไปเรียนภาษาญี่ปุ่นเพิ่มเติมฟรี ลูกเราก็มีความเป็นนักสู้ไม่เบา ให้ทำอะไรก็ทำ ไม่มีบ่น ไม่มีท้อ ไม่ร้องกลับไทยเลยสักคำ ตอนที่ไปลูกไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นเลยจริงๆ ต้องนับหนึ่งใหม่เริ่มเรียนตั้งแต่ตัวอักษรฮิราคะนะ คาตาคะนะ ลูกเราโชคดีมากที่เจอเพื่อนๆที่โรงเรียนและครูประจำชั้นที่ใจดีมากๆ เข้าใจในตัวลูกเราและดูแลเป็นอย่างดี ครูเป็นผู้ชายที่อายุยังไม่มาก และชักชวนให้ลูกเราเข้าชมรมบาสเก็ตบอล ตอนลูกจบ ป.6 เขามีให้เขียนจดหมายถึงพ่อแม่ เขาเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า "ขอบคุณบาสเก็ตบอล ที่อยู่เป็นเพื่อนฉัน"




จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ผ่านมา 8 ปีแล้ว ตอนนี้ลูกขึ้นมหาวิทยาลัยปี 2 แล้ว และสามารถปรับตัวกับการใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นอย่างไม่มีปัญหาแล้วค่ะ

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ