อากิตะใต้สายสโลว์ไลฟ์ : ตอนที่ 1 ร้านอุด้งเลื่องชื่อ

ร้อนใช่มั้ยคะ! แหม~ เราเองก็เข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการแล้วล่ะเนอะทุกคน ตอนนี้อากาศไทยแลนด์ของเราร้อนเหมือนซ้อมตกนรกไม่มีผิดเลยเนอะ~ เพราะฉะนั้นแล้ววันนี้เราจะพาทุกคนหนีร้อนไปอิงแอบหิมะกันที่ อากิตะ ค่ะ!! ถ้าใครพร้อมแล้วก็อย่ารอช้า เปิดเครื่องปรับอากาศให้เย็นฉ่ำเพื่อให้เหมาะกับการอ่านเอนทรี่นี้แล้วตามเรามาเลย~

South Akita

วันนี้ JGB จะพาทุกท่านไปสัมผัสความเย็นกับหิมะเมือง อากิตะ กันค่ะ แต่ก่อนจะไปนั้นก็ต้องมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับอากิตะกันคร่าว ๆ ก่อน อากิตะเป็นเมืองในภูมิภาคโทโฮคุ ซึ่งอยู่ทางเหนือของประเทศญี่ปุ่นค่ะ เพราะฉะนั้นแม้จะในฤดูร้อนที่นี่ก็ยังมีอากาศที่เย็นเทียบเท่าหน้าหนาวเมืองไทยค่ะ พอรู้อย่างนี้แล้วน่าสนใจเลยใช่มั้ยคะ ถ้าสนใจแล้วล่ะก็อย่ารอช้าค่ะ ลากกระเป๋าตามเรามาได้เลย

ที่จริงแล้วการเดินทางไป อากิตะ นั้นทำได้หลายทางค่ะ ทั้งทางรถยนต์(ขับไปกันเอง)ที่เหมาะสำหรับคนที่มีใบขับขี่แบบ international license หรือไปทางรถไฟ JR ซึ่งในกรณีนี้แนะนำให้ซื้อแบบ JR Tohoku pass เพื่อการเดินทางได้ทั่วภูมิภาคสำหรับคนที่มีเวลามากหน่อย และอีกทางก็คือทางเครื่องบินค่ะ เนื่องจากทริปนี้เราตั้งใจบินไปอากิตะโดยเฉพาะเพื่อหนีร้อนระยะสั้น ๆ ทางเราก็เลยเลือกเดินทางด้วยเครื่องบินเพื่อความสะดวกสบายและประหยัดเวลาค่ะ

เราบินจากสนามบินฮาเนดะในเที่ยวเช้า เพื่อไปถึงอากิตะในช่วงสาย ๆ ค่ะ และนี่คือสิ่งแรกที่เราเจอในสนามบินฮาเนดะค่ะ มันคือเครื่องเช็คอินอัตโนมัติและเครื่องโหลดกระเป๋าอัตโนมัตินั่นเอง !!! (ที่จริงในไทยเองก็มีนะคะ แต่ว่าไม่ได้เยอะขนาดนี้เนอะ)

เครื่องเช็คอินอัตโนมัติที่สนามบินฮาเนดะโตเกียว

ที่จริงการมีเจ้าสองเครื่องนี้เองก็ช่วยประหยัดเวลาได้เยอะเลยนะคะ เพราะเราไม่ต้องต่อแถวรอนานแล้วก็ไม่ต้องผ่านขั้นตอนยุ่งยากด้วย เริ่มจากไปเช็คอินนำพาสปอร์ตไปแสกนกดไปตามขั้นตอน และเราสามารถเลือกที่นั่งบนเครื่องได้เหมือนตอนที่เราเลือกที่นั่งในโรงหนังอีกด้วยนะคะ. หากใครมีบัตรของ ANA หรือเครือ Star Alliance อยากสะสมไมล์ก็ทำได้ กด ๆ ไปตามขั้นตอนแป๊บเดียวก็เรียบร้อยค่ะ (มีเมนูภาษาอังกฤษค่ะ)

เครื่องเช็คอินอัตโนมัติที่สนามบินฮาเนดะโตเกียว

แล้วเราก็นำเอาตั๋วที่ได้จากเครื่องเช็คอินไปแสกนคิวอาร์โค้ดเพื่อโหลดกระเป๋าที่เครื่องโหลดกระเป๋า เราก็กดไปตามขั้นตอนแล้วเครื่องก็จะปริ้นท์แทกออกมาให้เราติดกับกระเป๋าเอาไว้ แล้วหลังจากนั้นก็รอเครื่องทำงานไม่ถึงนาทีเองก็เสร็จเรียบร้อยค่ะ ง่ายแล้วก็สะดวกมาก ๆ เลย ใช้เวลารวม ๆ สองที่ไม่เกิน 10 นาทีเท่านั้นมีเวลาให้เราได้เดินเตร็ดเตร่ได้อีกนิดหน่อยค่ะ

บินจากโตเกียวมาอากิตะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 5 นาทีถ้าสภาพอากาศเป็นใจค่ะ แม้ว่าทริปนี้สภาพอากาศจะไม่ดีเท่าไหร่นักแต่เราก็ยังมาถึงในเวลาที่ไม่ถึงกับเลทมากค่ะ (ประมาณ 10 นาที) โดยที่เราหลับมาตลอดทาง (ฮ่า) พอใกล้ถมองจากหน้าต่างเครื่องก็จะเห็นเป็นทุ่งหิมะเต็มไปหมด เราถึงกับอุทานว่า ไม่ 秋田 (ท้องทุ่งแห่งฤดูใบไม้ร่วง) แล้ว นี่มัน 雪田 (ท้องทุ่งแห่งหิมะ) ชัด ๆ ค่ะ

สนามบินอากิตะ

เมื่อมาถึงอากิตะแล้วสิ่งแรกที่เราได้เห็นในสนามบินและโดดเด่นมากก็คือน้องหมาอากิตะค่ะ แหม่~ ก็มาถึงอากิตะแล้วล่ะเนอะจะไม่เจอน้องหมาอะกิระเลยก็น่าเสียดายแย่และที่เห็นอีกอย่างก็คือยักษ์ภูเขาทั้งสองตัวค่ะ และนี่คือเรื่องตำนานที่เราจะเล่าทีหลังค่ะ (ฮ่า) และอีกสิ่งหนึ่งที่อยากให้สังเกตกันก็คือไม้ค่ะ ที่นี่จะมีไม้เยอะมากไม่ว่าจะเป็นการตบแต่งสนามบินด้วยไม้กระดานหรือแม้กระทั่งการนำท่อนไม้จริงๆ มาวางเพื่อตบแต่ง เห็นแล้วใช่มั้ยคะ ทดไว้ในใจนะคะ เราจะเล่ากันในรอบนี้แน่นอน

ด้านนอกสนามบินอากิตะ

ทริปนี้เราจะเดินทางด้วยบัสค่ะ ทางไกด์ท้องถิ่นก็มารับเราถึงสนามบินและพาเราออกมาที่บบัสก่อนเลย ที่จริงจากอาคารผู้โดยสารขาเข้ามาที่ลานจอดรถไม่ไกลเลยค่ะ แต่เราต้องพาน้องกระเป๋าของเราผ่านเหล่าหิมะมาเท่านั้นเอง ถ้าใครชอบหิมะมาก ๆ มาอากิตะช่วงฤดูหนาวเราขอรับรองเลยค่ะว่าไม่ผิดหวังแน่นอน ไม่เชื่อไปดูวิวที่ทางเราเก็บมาฝากได้เลย



เป็นไงคะ #ทีมหิมะ ไม่ควรพลาดเลยใช่มั้ยคะ เมืองนี้หิมะตกสูงเป็นเมตรนะคะ เพราะฉะนั้นรับรองได้เลยว่าไม่ผิดหวังแน่นอน วิวข้างทางก็จะเป็นทิวสนสีเข้มตัดกับหิมะสีขาวไปตลอดทางให้เราได้เก็บภาพไปตลอดค่ะ แม้กระทั่งบ้านของชาวเมืองก็เป็นบ้านที่ถูกถมด้วยหิมะเป็นชั้นๆ ค่ะ ฟีลแบบเข้ามาอยู่ในเมืองหิมะอย่างแท้จริง พอเป็นแบบนี้แล้วเราเองก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นกับสภาพแวดล้อมที่ต่างไปไม่ได้ มันฟินเหมาะกับการหนีออกจากสภาพแวดล้อมเดิม ๆ จริง ๆ นะคะ

อากิตะ

นั่งรถมาเพลิน ๆ ได้สักพักก็มาถึงร้านอาหารกันแล้วค่ะ เรามาเริ่มมื้ออาหารแรกกันที่ร้านอุด้งขึ้นชื่อค่ะ ร้านนี้ชื่อร้าน Satou Yousuke ค่ะ ที่จริงถ้าใครชินกับร้านอาหารในเมืองก็จะไม่ชินกับร้านที่นี่ เพราะที่นี่ไม่ใช่แค่หน้าร้านอาหารทั่วไปแต่เป็นตัวอาคานกว้างใหญ่ที่มีส่วนของร้านอาหารอยู่ด้านหน้าและด้านหลังนั้นเป็นโรงงานผลิตเส้นอุด้งค่ะ

หน้าร้านอุด้งในจังหวัดอากิตะ

เนื่องจากเราเดินทางกันมาเหนื่อย ๆ หิวโหยทางไกด์จึงให้เราได้รับประทานอาหารกันก่อนที่จะเริ่มไปเดินดูการทำเส้นของเขาค่ะ 

เมนูขึ้นชื่อ อุด้งไทยคาเร

ซึ่งเมนูขึ้นชื่อของที่นี่ก็คือ! ทาด้า!! อุด้งไทยคาเรค่ะ ราคา 1230 เยน ใช่แล้วทุกคนอ่านไม่ผิดค่ะ มันคืออุด้งที่ทานกับไทยคาเรสองอย่าง สีเขียว ๆ นั่นคือสิ่งที่เราคุ้นเคยกันดีในวัฒนธรรมขนมจีนของเรานั่นก็คือแกงเขียวหวานค่ะ ส่วนสีส้ม ๆ นั้นเขาเคลมว่าเป็นต้มยำน้ำข้นแต่ทางเราคอนเฟิร์มว่าเป็นฟีลแพนงไม่หวานค่ะ (ฮ่า) อย่าเถียงคนไทยสิ!

เมนูขึ้นชื่อ อุด้งไทยคาเรเมนูขึ้นชื่อ อุด้งไทยคาเร

อาหารเซ็ทนี้เป็นการทานแบบ dip ค่ะ คือเราจะนำเส้นไปจุ่มลงกับน้ำแกงค่ะ ถ้าถามว่ามันเผ็ดมั้ย เพื่อนชาวไต้หวันที่ร่วมทริปบอกว่าเผ็ด แต่คนไทยลิ้นแตกอย่างเราคิดว่า โนจ้า ไม่เผ็ดเลยสักนิดจ้า ถ้าใครยังไม่เคยลองแกงเขียวหวานแบบยกซดได้ไปลองค่ะ เอาสิ! ไม่เผ็ดในระดับนั้นเลยนะคะ ในซุปก็จะมีเนื้อสัตว์อยู่เล็ก ๆ น้อย ๆ ตามสไตล์ของซุปญี่ปุ่นค่ะ ไม่เน้นแซ่บเน้นอร่อย และตัวเส้นั้นจัดว่าเหนียวนุ่มมาก ๆ คือมันค่อนข้างเหนียวกว่าปกติพอตัวแล้วมันก็อร่อยมาก ๆ เราคิดว่าหากได้ลองทานกับซุปสไตล์ญี่ปุ่นก็น่าจะอร่อยไม่น้อยเลยค่ะ 

ตัวเส้นอุด้งเหนียวหนึบ

เมื่อท้องอิ่มแล้วก็ได้เวลาสาระค่ะ เราก็มาเดินย่อยอาหารไปด้วยเยี่ยมชมโรงงานผลิตเส้นอุด้งไปด้วยค่ะ ที่นี่จะมีห้องกระจกให้เราได้ดูการผลิตกันตั้งแต่ทำแป้งไปจนถึงการเลือกเส้นแพ็คเส้นเลยค่ะ แล้วก็อย่างที่เห็นคะเส้นที่นี่ทำด้วยกระบวนการที่สะอาดทุกขั้นตอนในห้องปลอดเชื้อทุกขั้นตอน

ขั้นตอนการนวดแป้งและปั้นเส้นในปัจจุบัน

โดยที่ข้างซ้ายก็จะเป็นการจัดแสดงตุ๊กตาปั้นที่กำลังทำท่าทางในแต่ละขั้นตอนการทำเส้นอยู่ค่ะ เป็นการทำเส้นแบบโบราณสมัยเริ่มต้นค่ะ ส่วนทางขวามือก็คือขั้นตอนในปัจจุบันค่ะ





ส่วนตัวชอบการนำเสนอประวัติศาสตร์ของร้านด้วยตัวตุ๊กตาปั้น ที่นี่มันดูเข้าใจง่ายและก็น่ารักมาก ๆ ค่ะ นอกจากจะมีขั้นตอนแล้วก็ยังมีโล่และประกาศรางวัลวางอยู่มากมายค่ะ เป็นส่วนที่บ่งบอกถึงความเป็นหนึ่งด้านเส้นอุด้งจริงๆ

 





และนี่ก็คือขั้นตอนสุดท้ายของการทำเส้นค่ะ นั่นก็คือการเลือกเส้นก่อนนำไปแพ็คขายค่ะ ที่นี่เขาเลือกกันทีละเส้น เลือกแบบเส้นต่อเส้น เส้นไหนสั้นไปหรือยาวไปก็จะคัดออก ใช้เฉพาะเส้นที่เท่ากันเท่านั้น เส้นไหนเปราะหรือไม่ได้มาตรฐานก็ถูกคัดออกเช่นกันค่ะ เพราะฉะนั้นมั่นใจได้เลยว่าทุกเส้นจากทุกถุงที่เราซื้อไปนั้นจะได้เส้นในคุณภาพเดียวกับทางร้านแน่นอนค่ะ 



สุดท้ายค่ะร้านนี้ก็มีเส้นให้เราได้ซื้อกลับไปด้วยในกรณีที่เป็นสายชอบเส้นนั้นไม่ควรพลาดเลยนะคะ เพราะเส้นเหนียวหนึบจริง ๆ หากใครไปทานแล้วก็อย่าลืมมาเม้นท์บอกกันได้นะคะว่ารสชาติเป็นฟังไหน ถูกใจกันมั้ย? ทานเมนูไหนมาและมาเป็น #ทีมแกงไม่เผ็ด ไปด้วยกันค่ะ

นี่แค่ร้านแรกนะคะยังน่าสนใจขนาดนี้ อากิตะเป็นจังหวัดที่เต็มไปด้วยธุรกิจครอบครัวที่อายุเกิน 100 ปี เมืองน่ารักที่ยังคงวิถีชาวเมืองและวิวสวย ๆ จากหิมะค่ะ เพราะฉะนั้นตามติดเรามาเที่ยวเลยค่ะ รับรองว่าเราจะพาเที่ยวแบบละเอียดยิบเหมือนคุณกำลังเดินอยู่ข้าง ๆ เราเลยทีเดียว~

พิกัด ; Inaniwa-80 Inaniwachō, Yuzawa-shi, Akita-ken 012-0107, Japan