ญี่ปุ่นเป็นอีกหนึ่งประเทศที่เกิดอาชญากรรมที่แปลกประหลาดและโหดร้าย รวมไปถึงการนองเลือดแบบสังหารหมู่ แน่นอนว่าโศกนาฏกรรมของฆาตกรรมต่อเนื่องที่รุนแรงที่มีจำนวนมากเหล่านี้ไม่ได้รับการรายงานอย่างกว้างขวางในโลกตะวันตกเหมือนกับในเอเชีย ในบทความนี้คือ 9 ฆาตกรต่อเนื่องที่คุณอาจไม่เคยได้ยินชื่อของญี่ปุ่น
**เนื้อหาในบทความอาจมีพฤติกรรมความรุนแรงที่ไม่ควรนำมาเอาเป็นเยี่ยงอย่าง และทาง JGBTHAI ไม่ได้มีเจตนาสนับสนุนให้เกิดความรุนแรงดังเช่นเหตุการณ์เหล่านี้ ผู้อ่านโปรดใช้วิจารญาณในการอ่านด้วยค่ะ
สึโตมุ มิยาซากิ อาจเป็นฆาตกรที่เลวร้ายทีสุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ด้วยเหตุผลของการก่อเหตุเกิดนี้เป็นเพียงฝันร้ายและเขาเป็นเพียงคนเดียวที่ทำให้คนเข้าใจวัฒนธรรมของโอตาคุไปในทางที่แย่ลง
หรือที่รู้จักกันในนามมิยาซากินักฆ่าเด็กผู้หญิงมันไม่ง่ายที่จะได้ฉายานี้มา เมื่อตอนเป็นเด็กเขาเกิดมาพร้อมกับความผิดปกติของข้อมืออย่างรุนแรงซึ่งส่งผลต่อความมั่นใจและการเข้าสังคมของเขา แม้ว่าเขาจะเกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย แต่เขากลับไม่ได้รับความรักจากพ่อแม่นัก เขาจึงเติบโตมาอย่างโดดเดียวและมีปัญหาทางจิต
ในปี 1988 เขาได้เริ่มเข้าสู่การฆาตกรรมครั้งแรก เหยื่อรายแรกของเขาคือเด็กหญิงวัย 4 ขวบที่ เขาล่อลวงเด็กเข้าไปในรถและก็ขับรถออกไปในพื้นที่ที่เงียบสงบ เขาได้บีบคอเธอแล้วทิ้งศพไว้ เพียงไม่กี่สัปดาห์ต่อมามิยาซากิรู้สึกตื่นเต้นแบบเดียวกันกับรอบแรก จึงได้ลักพาตัวและสังหารเด็กหญิงตัวน้อยอีกคนด้วยวิธีการแบบเดียวกัน
ยิ่งความเพ้อฝันก่อขึ้นมากเท่าไหร่ การก่ออาชญกรรมของเขาก็เริ่มโหดร้ายขึ้นเช่นเดียวกัน เขาได้ลงมือฆ่าอีกสองครั้งในลักษณะเดียวกัน แต่ด้วยเหยื่อรายสุดท้าย เขาแยกชิ้นส่วนของเหยื่อภายในบ้านและกินเนื้อของเหยื่อ เขาได้ถ่ายภาพศพเก็บไว้ และตัดชิ้นส่วนต่าง ๆ ส่งแนบไปกับจดหมายไปให้ครอบครัวของเหยื่อ
ในที่สุดปี 1989 มิยาซากิก็ได้ถูกจับกุม ขณะที่เขากำลังเปลือยกายอยู่ภายในรถพร้อมกับเหยื่อรายที่ 5 เขาถูกตัดสินประหารชีวิตโดยการแขวนคอ ในปี 2007
อาชญากรรมของทาคาฮิโระ ชิราอิชิเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานและชายคนนี้ก็อยู่ในรายชื่อฆาตกรต่อเนื่องที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์
แม้ในช่วงวัยเด็กเขาจะไม่มีความผิดปกติ แต่เมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่เขาได้เริ่มแยกตัวออกจากครอบครัวและได้เริ่มทำงานเกี่ยวกับการค้าประเวณีผู้หญิงในย่านแสงสีแดงของโตเกียว ประสบการณ์นี้สอนให้เขารู้วิธีจัดการกับผู้หญิงโดยที่ได้รับความไว้วางใจ ถือเป็นกลยุทธ์ที่เขาใช้ล่อลวงเหยื่อเพื่อทำการฆาตกรรม
หนึ่งในญาติของผู้เสียชีวิตสืบเบาะแสจากทางออนไลน์จนสามารถสาวไปถึงชิราอิชิ ซึ่งใช้ชื่อแอคเคาท์ว่า “hangingpro” เมื่อตำรวจมาถึงอพาร์ทเมนท์ของชิราอิชิพวกเขาพบร่างที่ไร้วิญญาณของเหยื่อเป็นผู้หญิงทั้งหมด 7 ศพ และเป็นผู้ชาย 1 ศพ
ยูกิโอะ ยามาจิ ถูกเลี้ยงดูมาโดยแม่อย่างยากลำบากมาก เนื่องจากหลังที่พ่อของเขาเสียชีวิต เมื่อตอนที่เขาอายุ 11 ปี เพียง 5 ปีต่อมา ในปี 2000 เขาได้ทุบตีแม่ของเขาจนตายด้วยไม้เบสบอล และต่อมาเขาได้เข้ามอบตัวกับทางตำรวจ
แต่เนื่องด้วยสถานการณ์ครอบครัวและอายุของเขา จึงถูกส่งไปยังสถานกักขังเด็กและเยาวชน โดยแรงจูงใจในการเริ่มก่อการฆาตกรรมคือ แม่เขาพยายามเข้ามายุ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขาและหนี้สินต่างๆของแม่ แม้ว่าจะเป็นอาชญากรรมร้ายแรง แต่ยามาจิก็ได้รับการปล่อยตัวโดยทัณฑ์บนเพียง 3 ปี
ต่อมาในปี 2003 เนื่องจากเชื่อว่าเขาได้รับการปฏิรูป
แต่ในปี 2005 สิ่งนี้พิสูจน์แล้วว่าเป็นความผิดพลาดร้ายแรง เพราะเขาได้มีความตั้งใจที่จะสังหารอีกครั้ง เหตุการณ์เกิดที่โอซาก้า โดยยามาจิได้ลงมือแทงพี่สาวสองคนจนเสียชีวิต จากนั้นก็ทำลายหลักฐานด้วยการจุดไฟเผาอพาร์ทเมนท์ อย่างไรก็ตามเขาก็ตกเป็นผู้ต้องสงสัยโดยตำรวจเนื่องจากเพิ่งย้ายเข้ามาในอพาร์ทเมนท์เดียวกัน
เมื่อสอบปากคำยามาจิก็รับสารภาพทันทีเขาถูกตั้งข้อหาฆาตกรรม แต่คราวนี้ผู้พิพากษาจะไม่ผ่อนปรนเหมือนครั้งแรก แม้จะได้รับการประเมินทางจิตวิทยาที่เปิดเผยว่าเขาป่วยเป็นโรค Asperger’s Syndrome แต่ยามาจิก็ได้รับโทษประหารชีวิต
ไม่มีคำไหนเหมาะกับผู้ที่ลงมือสังหารคนกว่า 100 คนเท่าคำว่า ฆาตกรต่อเนื่องอีกแล้ว
มิยูกิ อิชิกาวะเป็นพยาบาลประจำห้องคลอดที่โรงพยาบาลโคโตบุกิซึ่งมีทารกหลายคนถูกทอดทิ้งเนื่องจากสถานการณ์ทางการเงินที่ย่ำแย่ของพ่อแม่ อิชิกาวะรู้สึกหมดหวังกับการที่ขาดแคลนอุปกรณ์ในการดูแลเด็กทารก ที่ถูกทอดทิ้งจากพ่อแม่จึงตัดสินใจลงมือจัดการเด็กทารกเหล่านั้น
ภายใต้การดูแลของเธอเด็กหลายคนเสียชีวิตเนื่องจากความอดอยากหรือขาดอากาศหายใจเนื่องจากการละเลยของเธอ เธอพยายามหาเงินจากพ่อแม่สำหรับคดีฆาตกรรมโดยอ้างว่าราคาสำหรับการเสียชีวิตของพวกเขานั้นน้อยกว่าค่าเลี้ยงดูพวกเขา ในปี 1948 ตำรวจได้ค้นพบศพของทารก 5 ศพ และการชันสูตรสรุปว่าพวกเขาไม่ได้เสียชีวิตด้วยสาเหตุทางธรรมชาติ การสอบสวนชี้ไปที่อิชิกาวะและผู้สมรู้ร่วมคิดของเธอ (สามีและหมออีกคน) โดยทั้งสามคนได้ถูกจับกุม
ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัดของเด็กทารกที่อิชิกาวะสังหารไป แต่พบศพกว่า 40 ศพในห้องเก็บศพและอีก 30 ศพ ใกล้ๆบริเวณวัด โดยอิชิกาวะใช้ 2 แห่งนี้เป็นที่ทิ้งศพของทารก
น่าแปลกที่อิชิกาวะถูกตัดสินจำคุกเพียง 8 ปี เนื่องจากทางการพิจารณาว่าคดีฆาตกรรมนี้เป็นการก่ออาชญากรรมโดยละเลยมากกว่าเจตนา หลังจากอุทธรณ์คำพิพากษาได้ลดโทษลงเหลือเพียง 4 ปี
ฟุโตชิ มัตสึนากะถือได้ว่าเป็นหนึ่งในฆาตกรต่อเนื่องชาวญี่ปุ่นคนล่าสุด อาชญากรรมส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในช่วงปลายยุค 90 ในกรณีนี้ไม่ทราบจำนวนเหยื่อที่แน่นอน เนื่องจากไม่เคยพบศพที่สามารถยืนยันว่ามาจากการฆาตกรรมได้ อย่างไรก็ตามมัตสึนากะเป็นฆาตกรที่เป็นที่พูดถึงกันมาก เนื่องจากในแต่ละครั้งที่ก่อคดีเขาจะลักพาตัวเหยื่อหลายคนและทรมานพวกเขา
เหยื่อรายแรกของ มัตสึนากะ คือชายที่เขาพยายามแบล็กเมล์ มัตสึนากะลักพาตัวเขาและลูกสาวไปขังไว้ในอพาร์ตเมนต์ของเขา มัตสึนากะทำให้ชายคนนั้นถูกไฟฟ้าดูดและบังคับให้เขากินอุจจาระ หลังจากที่เขาเสียชีวิต เขาทำให้ลูกสาวเชื่อว่าเธอคือคนที่ฆ่าเขา
มัตสึนากะได้รับความช่วยเหลือจากจุนโกะ โอกาตะผู้สมรู้ร่วมคิดซึ่งเป็นภรรยาของเขาด้วย เหยื่อรายอื่นของ มัตสึนากะ เป็นสมาชิก 5 คนในครอบครัวของ โอกาตะ ซึ่งอาศัยอยู่กับพวกเขาทั้งสองในเวลานั้น มัตสึนากะมัดและจับพวกเขาเป็นตัวประกันจากนั้นค่อย ๆ ฆ่าพวกเขาทีละคนแม้กระทั่งบีบบังคับเด็กหญิงอายุ 10 ขวบกักขังแม่ของเธอ และให้พ่อของเธอบีบคอเธอจนตาย
เมื่อทั้งห้าตายแล้ว มัตสึนากะ ก็สับศพต้มและทำลายหลักฐาน เหตุการณ์ทั้งหมดสิ้นสุดลงในเดือนมีนาคม 2002 เมื่อเหยื่อที่ถูกลักพาตัวคนสุดท้ายของ มัตสึนากะ หลบหนีและเข้าแจ้งความกับตำรวจ พวกเขาทั้งคู่ถูกจับกุม แม้ว่ามัตสึนากะจะอ้างว่าเขาบริสุทธิ์ แต่ ก็สารภาพทุกอย่าง ซึ่งนำไปสู่โทษจำคุกตลอดชีวิตของโอกาตะและโทษประหารชีวิตมัตสึนากะนั่นเอง
เซซาคุ นากามูระหรือที่รู้จักกันในชื่อ Hamamatsu Deaf Killer เป็นหนึ่งในฆาตกรต่อเนื่องที่อายุน้อยที่สุดของญี่ปุ่นซึ่งก่อคดีฆาตกรรมไป 9 คนด้วยอาวุธมีด นากามูระเกิดในปี 1924 โดยเขาหูหนวกตั้งแต่กำเนิด แต่เขาเป็นเด็กที่ฉลาดมาก แม้ว่าเขาจะแสดงแนวโน้มว่ามีอาการทางจิตเวชตั้งแต่อายุยังน้อย เช่นการขาดความเห็นอกเห็นใจหรือการเอาใจใส่ แต่พฤติกรรมนี้อาจเกิดขึ้นมาเพราะการที่ถูกปฏิบัติอย่างเย็นชาจากครอบครัว ซึ่งมีส่วนทำให้พฤติกรรมของเขาเปลี่ยนเป็นความรุนแรงและได้ก่อคดีฆาตกรรมตั้งแต่อายุยังน้อย
เหยื่อรายแรกของคือผู้หญิงสองคนที่เขาพยายามข่มขืน แต่สุดท้ายก็ถูกฆ่าเนื่องจากพวกเธอพยายามขัดขืน ต่อมาในปี 1941 ซึ่งตอนนั้นเขามีอายุ 17 ปี และหลังจากนั้นได้ทำร้ายผู้หญิงสองคนในร้านเกอิชาและฆ่าหนึ่งในพวกเธอไป ถัดไปอีกวันต่อมานากามูระได้ใช้มีดบุกเข้าทำร้ายร่างกายคนอีก 3 คนในร้านอาหารทำให้พวกเขาทั้งหมดบาดเจ็บสาหัส
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ระบายความโกรธไปที่ครอบครัวของเขา ในระหว่างการโต้เถียงอย่างรุนแรงนั้น นากามูระแทงพี่ชายของเขาจนเสียชีวิตและทำร้ายสมาชิกในครอบครัวอีก 5 คน จนได้รับบาดเจ็บสาหัส
เหยื่อรายสุดท้ายของนากามูระเป็นอีกครอบครัวหนึ่งที่เขาสะกดรอยตามในเดือนสิงหาคมปี 1941 เขาฆ่าทั้งพ่อและแม่และลูกทั้งสองคน แต่ลูกสาวคนโตรอดชีวิตและสามารถเข้ามาชี้ตัวนากามูระได้ในเวลาต่อมา ทำให้หลังจากนั้นไม่กี่เดือนเขาถูกตำรวจเข้าจับกุมตัวไว้ได้ ด้วยแรงกดดันจากสาธารณชนเขาจึงถูกพิจารณาคดีอย่างรวดเร็วและถูกตัดสินโทษประหารชีวิตเมื่ออายุ 19 ปี
คิโยชิ โอคุโบะเกิดเมื่อปี 1935 เป็นฆาตกรต่อเนื่องชาวญี่ปุ่นที่ข่มขืนและสังหารผู้หญิงกว่า 8 คน โอคุโบะเป็นลูกเสี้ยวรัสเซีย โดยเชื้อสายฝั่งแม่ เขามักถูกล้อเลียนที่โรงเรียนเนื่องจากลักษณะทางชาติพันธุ์ของเขาแปลกไปจากชาวญี่ปุ่นทั่วไปในขณะนั้น แม้ว่าเขาจะมาจากครอบครัวใหญ่ที่มีลูก 8 คน แต่โอคุโบะก็ยังคงถูกเลี้ยงดูมาด้วยความรัก ซึ่งนั่นทำให้เขาไม่ใช่เด็กที่ว่านอนสอนง่ายมากนัก
เนื่องจากครอบครัวของเขาไม่มีอำนาจเขาจึงเริ่มก่อกบฏในโรงเรียนดูหมิ่นครูและเพื่อนร่วมงานหญิงของเขาด้วย โอคุโบะแสดงพฤติกรรมเป็นอันตรายตั้งแต่ยังเด็ก และเมื่อเขาอายุประมาณ 11 ปี เขาได้กระทำชำเราเด็กสาวคนหนึ่งโดยใช้ก้อนหิน ไม่กี่ปีต่อมาเขาพยายามข่มขืนครั้งแรก แต่ถูกจับได้และถูกจำคุกเป็นเวลา 4 ปี
ในปี 1961 โอคุโบะได้แต่งงานกับผู้หญิงที่ไม่รู้ประวัติอาชญากรรมของเขาและมีลูก 2 คน ถึงอย่างนั้นเขายังคงมองหาเหยื่อมากขึ้น และในปี 1971 เขาได้ข่มขืนผู้หญิง 8 คน และกำจัดเหยื่อทุกคนด้วยการรัดคอ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในเวลา 2 เดือนเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นการฆาตกรรมที่อุกอาจมาก
เพียงไม่กี่วันหลังจากก่อเหตุ โอคุโบะถูกจับถุมและเขาได้สารภาพทุกอย่าง และได้โทษหน่วยงานด้านการบำบัดอาการจิตเวชที่เขาเคยถูกคุมตัวเข้าไปว่าทำงานไม่มีประสิทธิภาพ สุดท้ายเขาถูกตัดสินว่ามีความผิดและถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการแขวนคอในปี 1973
ความหลงไหลในการฆาตกรรมของเขากินเวลาไปเกือบ 4 ปีโดยเริ่มตั้งแต่ปี 1948 ถึงปี 1952 ซึ่งถือเป็นเวลาที่ค่อนข้างยาวนาน เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่คุริตะเริ่มมีปัญหากับกฎหมายและถูกจับสองสามครั้งในข้อหาลักทรัพย์และทำร้ายร่างกาย ในปี 1948 คุริตะได้ก่อเหตุฆาตกรรมครั้งแรก โดยฆ่าผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาคบอยู่ในขณะนั้น เนืื่องจากเธอพยายามกดดันให้เขาแต่งงานอย่าง ต่อมาเขาไปฆ่าแฟนสาวอีกคนหนึ่งของเขา
แต่คุริตะไม่ได้ถูกตัดสินในการก่อเหตุฆาตกรรมครั้งแรก หลังจากนั้นในปี 1951 เขาก็กลับมามีความมั่นใจและเริ่มลงมือก่ออาชกรรมอีกครั้ง ครั้งนี้เหยื่อเป็นหญิงสาวคนหนึ่งในโคยามะ เขาฆ่าและข่มขืนเธอทั้ง ๆ ลูกน้อยของเธอกำลังหลับอยูข้าง ๆ ซึ่งเขาได้ไว้ชีวิตเด็กโดยไม่ได้ทำอันตรายใด ๆ หลังจากนั้นไม่นาน เขายิ่งกระหายการฆ่ามากขึ้น เขาไดก่อคดีข่มขืนและฆ่าหญิงวัย 29 ปี เขาโยนเธอลงจากหน้าผาอย่างโหดเหี้ยม และยิ่งกว่านั้นคุริตะยังโยนลูกเล็ก ๆ ทั้งสามคนไปพร้อมกับเธอ ทว่าโชคดีที่ลูกสาวคนโตรอดชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว
การฆาตกรรมครั้งสุดท้ายของคุริตะเกิดขึ้นในเดือนมกราคม ปี 1952 เมื่อเขาได้สังหารหญิงชรากับหลานสาวและข่มขืนศพของเธอ แต่คราวนี้เขาทิ้งรอยนิ้วมือไว้ในที่เกิดเหตุ ซึ่งทำให้ตำรวจระบุตัวตนได้อย่างรวดเร็ว ภายหลังเขาถูกจับกุมและได้รับโทษประหารชีวิต ซึ่งตัวเขาเองได้ยื่นอุทธรณ์ แต่เนื่องจากสภาพจิตใจที่ไม่มั่นคง ศาลได้ตัดสินประหารชีวิตใน ปี 1959
อากิระ นิชิกุจิ เกิดที่โอซาก้าใน ปี 1925 และเริ่มกลายเป็นนักต้มตุ๋นก่อนที่จะผันตัวมาเป็นฆาตกรต่อเนื่อง นิชิกุจิพบว่าตัวเองอยู่ในรายชื่อคนร้ายที่ทางการต้องการตัวมากที่สุดของญี่ปุ่น หลังจากเขาได้ก่อเหตุสังหารชาย 2 คน ที่เขาได้ทำการฉ้อโกงไป
หลังจากการสังหารครั้งแรกของเขา ตำรวจก็ทำงานอย่างหนักเพื่อจับตัวเขา นิชิกุจิเข้าไปซ่อนตัวในโรงแรมในฮามามัตสึเป็นเวลาห้าวัน และที่นั่นเองเขาได้ลงมือสังหารเจ้าของโรงแรมและแม่ของเธอด้วย
เมื่อออกจากโรงแรม เขาได้ก่อเหตุฆาตกรรมชายชราที่ทำงานเป็นทนายความในโตเกียว ความพยายามของตำรวจในการจับนิชิกุจิได้ผล เมื่อเด็กหญิงวัย 11 ขวบจำเขาได้และแจ้งเจ้าหน้าที่ เขาถูกรวบตัวและถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ ในวันที่ 11 ธันวาคม ปี 1970
จากเหตุการณ์สะเทือนขวัญต่างๆ ที่เคยขึ้น ทาง JGBTHAI ขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์เหล่านี้ รวมถึงญาติของเหยื่อผู้เสียชีวิตทุกท่าน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะเป็นบทเรียนเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจเกิดในอนาคตค่ะ
**เนื้อหาในบทความอาจมีพฤติกรรมความรุนแรงที่ไม่ควรนำมาเอาเป็นเยี่ยงอย่าง และทาง JGBTHAI ไม่ได้มีเจตนาสนับสนุนให้เกิดความรุนแรงดังเช่นเหตุการณ์เหล่านี้ ผู้อ่านโปรดใช้วิจารญาณในการอ่านด้วยค่ะ
1.สึโตมุ มิยาซากิ (Tsutomu Miyazaki)
สึโตมุ มิยาซากิ อาจเป็นฆาตกรที่เลวร้ายทีสุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ด้วยเหตุผลของการก่อเหตุเกิดนี้เป็นเพียงฝันร้ายและเขาเป็นเพียงคนเดียวที่ทำให้คนเข้าใจวัฒนธรรมของโอตาคุไปในทางที่แย่ลง
หรือที่รู้จักกันในนามมิยาซากินักฆ่าเด็กผู้หญิงมันไม่ง่ายที่จะได้ฉายานี้มา เมื่อตอนเป็นเด็กเขาเกิดมาพร้อมกับความผิดปกติของข้อมืออย่างรุนแรงซึ่งส่งผลต่อความมั่นใจและการเข้าสังคมของเขา แม้ว่าเขาจะเกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย แต่เขากลับไม่ได้รับความรักจากพ่อแม่นัก เขาจึงเติบโตมาอย่างโดดเดียวและมีปัญหาทางจิต
ในปี 1988 เขาได้เริ่มเข้าสู่การฆาตกรรมครั้งแรก เหยื่อรายแรกของเขาคือเด็กหญิงวัย 4 ขวบที่ เขาล่อลวงเด็กเข้าไปในรถและก็ขับรถออกไปในพื้นที่ที่เงียบสงบ เขาได้บีบคอเธอแล้วทิ้งศพไว้ เพียงไม่กี่สัปดาห์ต่อมามิยาซากิรู้สึกตื่นเต้นแบบเดียวกันกับรอบแรก จึงได้ลักพาตัวและสังหารเด็กหญิงตัวน้อยอีกคนด้วยวิธีการแบบเดียวกัน
ยิ่งความเพ้อฝันก่อขึ้นมากเท่าไหร่ การก่ออาชญกรรมของเขาก็เริ่มโหดร้ายขึ้นเช่นเดียวกัน เขาได้ลงมือฆ่าอีกสองครั้งในลักษณะเดียวกัน แต่ด้วยเหยื่อรายสุดท้าย เขาแยกชิ้นส่วนของเหยื่อภายในบ้านและกินเนื้อของเหยื่อ เขาได้ถ่ายภาพศพเก็บไว้ และตัดชิ้นส่วนต่าง ๆ ส่งแนบไปกับจดหมายไปให้ครอบครัวของเหยื่อ
ในที่สุดปี 1989 มิยาซากิก็ได้ถูกจับกุม ขณะที่เขากำลังเปลือยกายอยู่ภายในรถพร้อมกับเหยื่อรายที่ 5 เขาถูกตัดสินประหารชีวิตโดยการแขวนคอ ในปี 2007
2.ทาคาฮิโระ ชิราอิชิ (Takahiro Shiraishi)
อาชญากรรมของทาคาฮิโระ ชิราอิชิเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานและชายคนนี้ก็อยู่ในรายชื่อฆาตกรต่อเนื่องที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์
แม้ในช่วงวัยเด็กเขาจะไม่มีความผิดปกติ แต่เมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่เขาได้เริ่มแยกตัวออกจากครอบครัวและได้เริ่มทำงานเกี่ยวกับการค้าประเวณีผู้หญิงในย่านแสงสีแดงของโตเกียว ประสบการณ์นี้สอนให้เขารู้วิธีจัดการกับผู้หญิงโดยที่ได้รับความไว้วางใจ ถือเป็นกลยุทธ์ที่เขาใช้ล่อลวงเหยื่อเพื่อทำการฆาตกรรม
หนึ่งในญาติของผู้เสียชีวิตสืบเบาะแสจากทางออนไลน์จนสามารถสาวไปถึงชิราอิชิ ซึ่งใช้ชื่อแอคเคาท์ว่า “hangingpro” เมื่อตำรวจมาถึงอพาร์ทเมนท์ของชิราอิชิพวกเขาพบร่างที่ไร้วิญญาณของเหยื่อเป็นผู้หญิงทั้งหมด 7 ศพ และเป็นผู้ชาย 1 ศพ
3.ยูกิโอะ ยามาจิ (Yukio Yamaji)
ยูกิโอะ ยามาจิ ถูกเลี้ยงดูมาโดยแม่อย่างยากลำบากมาก เนื่องจากหลังที่พ่อของเขาเสียชีวิต เมื่อตอนที่เขาอายุ 11 ปี เพียง 5 ปีต่อมา ในปี 2000 เขาได้ทุบตีแม่ของเขาจนตายด้วยไม้เบสบอล และต่อมาเขาได้เข้ามอบตัวกับทางตำรวจ
แต่เนื่องด้วยสถานการณ์ครอบครัวและอายุของเขา จึงถูกส่งไปยังสถานกักขังเด็กและเยาวชน โดยแรงจูงใจในการเริ่มก่อการฆาตกรรมคือ แม่เขาพยายามเข้ามายุ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขาและหนี้สินต่างๆของแม่ แม้ว่าจะเป็นอาชญากรรมร้ายแรง แต่ยามาจิก็ได้รับการปล่อยตัวโดยทัณฑ์บนเพียง 3 ปี
ต่อมาในปี 2003 เนื่องจากเชื่อว่าเขาได้รับการปฏิรูป
แต่ในปี 2005 สิ่งนี้พิสูจน์แล้วว่าเป็นความผิดพลาดร้ายแรง เพราะเขาได้มีความตั้งใจที่จะสังหารอีกครั้ง เหตุการณ์เกิดที่โอซาก้า โดยยามาจิได้ลงมือแทงพี่สาวสองคนจนเสียชีวิต จากนั้นก็ทำลายหลักฐานด้วยการจุดไฟเผาอพาร์ทเมนท์ อย่างไรก็ตามเขาก็ตกเป็นผู้ต้องสงสัยโดยตำรวจเนื่องจากเพิ่งย้ายเข้ามาในอพาร์ทเมนท์เดียวกัน
เมื่อสอบปากคำยามาจิก็รับสารภาพทันทีเขาถูกตั้งข้อหาฆาตกรรม แต่คราวนี้ผู้พิพากษาจะไม่ผ่อนปรนเหมือนครั้งแรก แม้จะได้รับการประเมินทางจิตวิทยาที่เปิดเผยว่าเขาป่วยเป็นโรค Asperger’s Syndrome แต่ยามาจิก็ได้รับโทษประหารชีวิต
4.มิยูกิ อิชิกาวะ (Miyuki Ishikawa)
ไม่มีคำไหนเหมาะกับผู้ที่ลงมือสังหารคนกว่า 100 คนเท่าคำว่า ฆาตกรต่อเนื่องอีกแล้ว
มิยูกิ อิชิกาวะเป็นพยาบาลประจำห้องคลอดที่โรงพยาบาลโคโตบุกิซึ่งมีทารกหลายคนถูกทอดทิ้งเนื่องจากสถานการณ์ทางการเงินที่ย่ำแย่ของพ่อแม่ อิชิกาวะรู้สึกหมดหวังกับการที่ขาดแคลนอุปกรณ์ในการดูแลเด็กทารก ที่ถูกทอดทิ้งจากพ่อแม่จึงตัดสินใจลงมือจัดการเด็กทารกเหล่านั้น
ภายใต้การดูแลของเธอเด็กหลายคนเสียชีวิตเนื่องจากความอดอยากหรือขาดอากาศหายใจเนื่องจากการละเลยของเธอ เธอพยายามหาเงินจากพ่อแม่สำหรับคดีฆาตกรรมโดยอ้างว่าราคาสำหรับการเสียชีวิตของพวกเขานั้นน้อยกว่าค่าเลี้ยงดูพวกเขา ในปี 1948 ตำรวจได้ค้นพบศพของทารก 5 ศพ และการชันสูตรสรุปว่าพวกเขาไม่ได้เสียชีวิตด้วยสาเหตุทางธรรมชาติ การสอบสวนชี้ไปที่อิชิกาวะและผู้สมรู้ร่วมคิดของเธอ (สามีและหมออีกคน) โดยทั้งสามคนได้ถูกจับกุม
ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัดของเด็กทารกที่อิชิกาวะสังหารไป แต่พบศพกว่า 40 ศพในห้องเก็บศพและอีก 30 ศพ ใกล้ๆบริเวณวัด โดยอิชิกาวะใช้ 2 แห่งนี้เป็นที่ทิ้งศพของทารก
น่าแปลกที่อิชิกาวะถูกตัดสินจำคุกเพียง 8 ปี เนื่องจากทางการพิจารณาว่าคดีฆาตกรรมนี้เป็นการก่ออาชญากรรมโดยละเลยมากกว่าเจตนา หลังจากอุทธรณ์คำพิพากษาได้ลดโทษลงเหลือเพียง 4 ปี
5.ฟุโตชิ มัตสึนากะ (Futosaahi Matsunaga)
ฟุโตชิ มัตสึนากะถือได้ว่าเป็นหนึ่งในฆาตกรต่อเนื่องชาวญี่ปุ่นคนล่าสุด อาชญากรรมส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในช่วงปลายยุค 90 ในกรณีนี้ไม่ทราบจำนวนเหยื่อที่แน่นอน เนื่องจากไม่เคยพบศพที่สามารถยืนยันว่ามาจากการฆาตกรรมได้ อย่างไรก็ตามมัตสึนากะเป็นฆาตกรที่เป็นที่พูดถึงกันมาก เนื่องจากในแต่ละครั้งที่ก่อคดีเขาจะลักพาตัวเหยื่อหลายคนและทรมานพวกเขา
เหยื่อรายแรกของ มัตสึนากะ คือชายที่เขาพยายามแบล็กเมล์ มัตสึนากะลักพาตัวเขาและลูกสาวไปขังไว้ในอพาร์ตเมนต์ของเขา มัตสึนากะทำให้ชายคนนั้นถูกไฟฟ้าดูดและบังคับให้เขากินอุจจาระ หลังจากที่เขาเสียชีวิต เขาทำให้ลูกสาวเชื่อว่าเธอคือคนที่ฆ่าเขา
มัตสึนากะได้รับความช่วยเหลือจากจุนโกะ โอกาตะผู้สมรู้ร่วมคิดซึ่งเป็นภรรยาของเขาด้วย เหยื่อรายอื่นของ มัตสึนากะ เป็นสมาชิก 5 คนในครอบครัวของ โอกาตะ ซึ่งอาศัยอยู่กับพวกเขาทั้งสองในเวลานั้น มัตสึนากะมัดและจับพวกเขาเป็นตัวประกันจากนั้นค่อย ๆ ฆ่าพวกเขาทีละคนแม้กระทั่งบีบบังคับเด็กหญิงอายุ 10 ขวบกักขังแม่ของเธอ และให้พ่อของเธอบีบคอเธอจนตาย
เมื่อทั้งห้าตายแล้ว มัตสึนากะ ก็สับศพต้มและทำลายหลักฐาน เหตุการณ์ทั้งหมดสิ้นสุดลงในเดือนมีนาคม 2002 เมื่อเหยื่อที่ถูกลักพาตัวคนสุดท้ายของ มัตสึนากะ หลบหนีและเข้าแจ้งความกับตำรวจ พวกเขาทั้งคู่ถูกจับกุม แม้ว่ามัตสึนากะจะอ้างว่าเขาบริสุทธิ์ แต่ ก็สารภาพทุกอย่าง ซึ่งนำไปสู่โทษจำคุกตลอดชีวิตของโอกาตะและโทษประหารชีวิตมัตสึนากะนั่นเอง
6.เซซาคุ นากามูระ (Seisaku Nakamura)
เซซาคุ นากามูระหรือที่รู้จักกันในชื่อ Hamamatsu Deaf Killer เป็นหนึ่งในฆาตกรต่อเนื่องที่อายุน้อยที่สุดของญี่ปุ่นซึ่งก่อคดีฆาตกรรมไป 9 คนด้วยอาวุธมีด นากามูระเกิดในปี 1924 โดยเขาหูหนวกตั้งแต่กำเนิด แต่เขาเป็นเด็กที่ฉลาดมาก แม้ว่าเขาจะแสดงแนวโน้มว่ามีอาการทางจิตเวชตั้งแต่อายุยังน้อย เช่นการขาดความเห็นอกเห็นใจหรือการเอาใจใส่ แต่พฤติกรรมนี้อาจเกิดขึ้นมาเพราะการที่ถูกปฏิบัติอย่างเย็นชาจากครอบครัว ซึ่งมีส่วนทำให้พฤติกรรมของเขาเปลี่ยนเป็นความรุนแรงและได้ก่อคดีฆาตกรรมตั้งแต่อายุยังน้อย
เหยื่อรายแรกของคือผู้หญิงสองคนที่เขาพยายามข่มขืน แต่สุดท้ายก็ถูกฆ่าเนื่องจากพวกเธอพยายามขัดขืน ต่อมาในปี 1941 ซึ่งตอนนั้นเขามีอายุ 17 ปี และหลังจากนั้นได้ทำร้ายผู้หญิงสองคนในร้านเกอิชาและฆ่าหนึ่งในพวกเธอไป ถัดไปอีกวันต่อมานากามูระได้ใช้มีดบุกเข้าทำร้ายร่างกายคนอีก 3 คนในร้านอาหารทำให้พวกเขาทั้งหมดบาดเจ็บสาหัส
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ระบายความโกรธไปที่ครอบครัวของเขา ในระหว่างการโต้เถียงอย่างรุนแรงนั้น นากามูระแทงพี่ชายของเขาจนเสียชีวิตและทำร้ายสมาชิกในครอบครัวอีก 5 คน จนได้รับบาดเจ็บสาหัส
เหยื่อรายสุดท้ายของนากามูระเป็นอีกครอบครัวหนึ่งที่เขาสะกดรอยตามในเดือนสิงหาคมปี 1941 เขาฆ่าทั้งพ่อและแม่และลูกทั้งสองคน แต่ลูกสาวคนโตรอดชีวิตและสามารถเข้ามาชี้ตัวนากามูระได้ในเวลาต่อมา ทำให้หลังจากนั้นไม่กี่เดือนเขาถูกตำรวจเข้าจับกุมตัวไว้ได้ ด้วยแรงกดดันจากสาธารณชนเขาจึงถูกพิจารณาคดีอย่างรวดเร็วและถูกตัดสินโทษประหารชีวิตเมื่ออายุ 19 ปี
7.คิโยชิ โอคุโบะ (Kiyoshi Okubo)
คิโยชิ โอคุโบะเกิดเมื่อปี 1935 เป็นฆาตกรต่อเนื่องชาวญี่ปุ่นที่ข่มขืนและสังหารผู้หญิงกว่า 8 คน โอคุโบะเป็นลูกเสี้ยวรัสเซีย โดยเชื้อสายฝั่งแม่ เขามักถูกล้อเลียนที่โรงเรียนเนื่องจากลักษณะทางชาติพันธุ์ของเขาแปลกไปจากชาวญี่ปุ่นทั่วไปในขณะนั้น แม้ว่าเขาจะมาจากครอบครัวใหญ่ที่มีลูก 8 คน แต่โอคุโบะก็ยังคงถูกเลี้ยงดูมาด้วยความรัก ซึ่งนั่นทำให้เขาไม่ใช่เด็กที่ว่านอนสอนง่ายมากนัก
เนื่องจากครอบครัวของเขาไม่มีอำนาจเขาจึงเริ่มก่อกบฏในโรงเรียนดูหมิ่นครูและเพื่อนร่วมงานหญิงของเขาด้วย โอคุโบะแสดงพฤติกรรมเป็นอันตรายตั้งแต่ยังเด็ก และเมื่อเขาอายุประมาณ 11 ปี เขาได้กระทำชำเราเด็กสาวคนหนึ่งโดยใช้ก้อนหิน ไม่กี่ปีต่อมาเขาพยายามข่มขืนครั้งแรก แต่ถูกจับได้และถูกจำคุกเป็นเวลา 4 ปี
ในปี 1961 โอคุโบะได้แต่งงานกับผู้หญิงที่ไม่รู้ประวัติอาชญากรรมของเขาและมีลูก 2 คน ถึงอย่างนั้นเขายังคงมองหาเหยื่อมากขึ้น และในปี 1971 เขาได้ข่มขืนผู้หญิง 8 คน และกำจัดเหยื่อทุกคนด้วยการรัดคอ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในเวลา 2 เดือนเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นการฆาตกรรมที่อุกอาจมาก
เพียงไม่กี่วันหลังจากก่อเหตุ โอคุโบะถูกจับถุมและเขาได้สารภาพทุกอย่าง และได้โทษหน่วยงานด้านการบำบัดอาการจิตเวชที่เขาเคยถูกคุมตัวเข้าไปว่าทำงานไม่มีประสิทธิภาพ สุดท้ายเขาถูกตัดสินว่ามีความผิดและถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการแขวนคอในปี 1973
8.เก็นโซ คุริตะ (Genzo Kurita)
ความหลงไหลในการฆาตกรรมของเขากินเวลาไปเกือบ 4 ปีโดยเริ่มตั้งแต่ปี 1948 ถึงปี 1952 ซึ่งถือเป็นเวลาที่ค่อนข้างยาวนาน เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่คุริตะเริ่มมีปัญหากับกฎหมายและถูกจับสองสามครั้งในข้อหาลักทรัพย์และทำร้ายร่างกาย ในปี 1948 คุริตะได้ก่อเหตุฆาตกรรมครั้งแรก โดยฆ่าผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาคบอยู่ในขณะนั้น เนืื่องจากเธอพยายามกดดันให้เขาแต่งงานอย่าง ต่อมาเขาไปฆ่าแฟนสาวอีกคนหนึ่งของเขา
แต่คุริตะไม่ได้ถูกตัดสินในการก่อเหตุฆาตกรรมครั้งแรก หลังจากนั้นในปี 1951 เขาก็กลับมามีความมั่นใจและเริ่มลงมือก่ออาชกรรมอีกครั้ง ครั้งนี้เหยื่อเป็นหญิงสาวคนหนึ่งในโคยามะ เขาฆ่าและข่มขืนเธอทั้ง ๆ ลูกน้อยของเธอกำลังหลับอยูข้าง ๆ ซึ่งเขาได้ไว้ชีวิตเด็กโดยไม่ได้ทำอันตรายใด ๆ หลังจากนั้นไม่นาน เขายิ่งกระหายการฆ่ามากขึ้น เขาไดก่อคดีข่มขืนและฆ่าหญิงวัย 29 ปี เขาโยนเธอลงจากหน้าผาอย่างโหดเหี้ยม และยิ่งกว่านั้นคุริตะยังโยนลูกเล็ก ๆ ทั้งสามคนไปพร้อมกับเธอ ทว่าโชคดีที่ลูกสาวคนโตรอดชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว
การฆาตกรรมครั้งสุดท้ายของคุริตะเกิดขึ้นในเดือนมกราคม ปี 1952 เมื่อเขาได้สังหารหญิงชรากับหลานสาวและข่มขืนศพของเธอ แต่คราวนี้เขาทิ้งรอยนิ้วมือไว้ในที่เกิดเหตุ ซึ่งทำให้ตำรวจระบุตัวตนได้อย่างรวดเร็ว ภายหลังเขาถูกจับกุมและได้รับโทษประหารชีวิต ซึ่งตัวเขาเองได้ยื่นอุทธรณ์ แต่เนื่องจากสภาพจิตใจที่ไม่มั่นคง ศาลได้ตัดสินประหารชีวิตใน ปี 1959
9.อากิระ นิชิกุจิ (Akira Nishiguchi)
อากิระ นิชิกุจิ เกิดที่โอซาก้าใน ปี 1925 และเริ่มกลายเป็นนักต้มตุ๋นก่อนที่จะผันตัวมาเป็นฆาตกรต่อเนื่อง นิชิกุจิพบว่าตัวเองอยู่ในรายชื่อคนร้ายที่ทางการต้องการตัวมากที่สุดของญี่ปุ่น หลังจากเขาได้ก่อเหตุสังหารชาย 2 คน ที่เขาได้ทำการฉ้อโกงไป
หลังจากการสังหารครั้งแรกของเขา ตำรวจก็ทำงานอย่างหนักเพื่อจับตัวเขา นิชิกุจิเข้าไปซ่อนตัวในโรงแรมในฮามามัตสึเป็นเวลาห้าวัน และที่นั่นเองเขาได้ลงมือสังหารเจ้าของโรงแรมและแม่ของเธอด้วย
เมื่อออกจากโรงแรม เขาได้ก่อเหตุฆาตกรรมชายชราที่ทำงานเป็นทนายความในโตเกียว ความพยายามของตำรวจในการจับนิชิกุจิได้ผล เมื่อเด็กหญิงวัย 11 ขวบจำเขาได้และแจ้งเจ้าหน้าที่ เขาถูกรวบตัวและถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ ในวันที่ 11 ธันวาคม ปี 1970
จากเหตุการณ์สะเทือนขวัญต่างๆ ที่เคยขึ้น ทาง JGBTHAI ขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์เหล่านี้ รวมถึงญาติของเหยื่อผู้เสียชีวิตทุกท่าน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะเป็นบทเรียนเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจเกิดในอนาคตค่ะ