สำหรับบางคนที่มาเที่ยวประเทศญี่ปุ่น อาจจะรู้สึกยุ่งยากหน่อยในการทำการบ้านเกี่ยวกับการเดินทางไปเที่ยวยังสถานที่ต่างๆ ต้องขึ้นรถไฟสายนี่ไปต่ออันนู่น เดินจากอันนู้นมาขึ้นอันนี้ บางทีก็หลงจนพาลทำจิตงุ่นง่านกันได้ง่ายๆ 555 จริงๆ ที่ญี่ปุ่นเขามีบริการเช่ารถให้ขับไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ได้อย่างสบายๆ เลยล่ะ แต่บางคนอาจจะกังวลว่า อ่าว แล้วจะเช่าที่ไหน ขับยังไง จะอ่านออกไหม มันต้องเป็นอะไรที่ยากแน่นอนเลย แต่ที่จริงแล้วมันไม่ยุ่งยากและสะดวกสบายมากเลย ในวันนี้เราก็จะมาพาชมทริปขับบรถตะลุยเที่ยวในจังหวัดใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางของฝั่งคิวชูให้ได้ชมกันค่ะ นั้นก็คือที่ฟุโกโอกะนั่นเอง
ก่อนอื่นเลยเราจะมาแนะนำวิธีการเดินทางแบบง่ายๆ ไม่ยากเลยค่ะ การเดินทางเราจะเริ่มจากสนามบิน Fukuoka international Airport ไปสู่สถานที่ต่างๆ กัน หลายๆ ท่านที่มาเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นอาจจะต้องการเวลาส่วนตัว วันนี้เรามีวิธีการเช่ารถที่ประเทศญี่ปุ่นแบบง่ายๆ มาให้ทุกท่านได้ทราบกันนะคะ
ขั้นตอนแรกเลยคือการจองรถเช่าที่ประเทศญี่ปุ่นโดยผ่านทางเว็บไซต์ https://rent.toyota.co.jp/th/ (รายละเอียดครบถ้วน สามารถเปิดหาข้อมูลเพิ่มได้ในเว็บไซต์นี้ได้เลยค่ะ) ข้อมูลในเว็บไซต์มีเป็นภาษาไทยไม่ต้องห่วงไปนะคะ แต่ขั้นตอนต่อไป เราจะต้องโทรไปจองกับทางประเทศญี่ปุ่นโดยตรงเลยค่ะ
เมื่อเราโทรไปหาที่บริษัท TOYOTA Rent a Car แล้วทางบริษัทจะมีให้บริการด้วยกันถึง 4 ภาษาได้แก่ ภาษาญี่ปุ่น,ภาษาอังกฤษ,ภาษาเกาหลี และ ภาษาจีนค่ะ อันนี้สบายใจหายห่วงเรื่องภาษาได้เลย ทุกท่านสามารถให้คนรู้จักที่อยู่ในประเทศญี่ปุ่นติดต่อให้ได้ หรือ ถ้าท่านต้องการจะติดต่อโดยตรงให้ใช้เบอร์โทรที่ขึ้นต้นด้วยรหัส +81 แล้วโทรจองได้เลย หรือท่านใดต้องการจะจองผ่านทางเว็บไซต์ ทาง TOYOTA Rent a Car แต่ว่ามีบริการเพียงแค่ภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น ท่านสามารถให้คนรู้จักของท่านหรือตัวท่านเองจองผ่านเว็บไซต์ได้เลยโดยไม่ต้องผ่านโทรศัพท์
เมื่อเราทำการจองรถแล้วต่อมาคือเข้าสู่ขั้นตอนการมารับรถเช่าที่ประเทศญี่ปุ่นค่ะ โดยการรับไม่ยากเลยค่ะ เมื่อท่านเดินออกมาจากประตูทางออกของผู้โดยสารขาเข้าแล้ว ทางด้านขวามือของทุกท่านจะมีเค้าท์เตอร์เยอะแยะมากมายตั้งอยู่เรียงกันเลย (ตามรูปเลย) เดินตรงไปเรื่อยๆ แล้วจะพบกับเค้าท์เตอรสีเขียวที่เขียนว่า TOYOTA Rent a Car แล้วเดินเข้าไปเลยจ้า
ต่อมาก็คือการยืนยันข้อมูลที่เราได้จองรถเช่าเอาไว้ โดยเอกสารที่จำเป็นจะต้องใช้มี 3 อย่างด้วยกัน
1. Passport เจ้าของชื่อที่ทำการจองรถไว้ (หรือผู้ขับขี่)
2. ใบขับขี่สากล หรือ ใบขับขี่ที่ออกโดยประเทศญี่ปุ่น (ใบขับขี่ไทยไม่ได้นะจ๊ะ 5555)
3. เอกสารข้อมูลการจองรถเช่า (สำหรับท่านที่จองผ่านอินเตอร์เน็ต)
ต่อจากนั้นทุกท่านจะได้รับกระดาษแผ่นนี้มา ซึ่งบอกหมายเลขการจอง และจำนวนคนที่จะขึ้นรถตู้เพื่อนำท่านไปสู่สถานที่รับรถเช่า โดยท่านจะต้องขึ้นไปที่ชั้น 3 ของสนามบิน Fukuoka international Airport และไปทางประตูซ้ายสุดเพื่อยืนรอรถตู้จากทางบริษัทมารับท่านค่ะ
เมื่อทุกคนได้มาถึงสถานที่รับรถเช่าแล้ว ให้เราเข้าไปข้างใน (ตามรูป) เพื่อนำเอกสารต่างๆ ไปให้ที่เค้าท์เตอร์ได้เช็คข้อมูลก่อนจะนำรถมาให้ค่ะ โดยการอธิบายต่างๆ พนักงานสามารถพูดเป็นภาษาอังกฤษได้นะคะ ไม่ต้องห่วง และทางบริษัทมีวิดีโอการขับขี่ที่ประเทศญี่ปุ่นพร้อมกฏจารจรเป็นภาษาไทยให้เราได้รับชมกันด้วยนะคะ อันนี้ดีงามปลอยภัยหายห่วง
แต่เอกสารต่างๆ จะเป็นภาษอังกฤษ, ภาษาญี่ปุ่น, ภาษาจีน และภาษาเกาหลีค่ะ ทุกคนสามารถเลือกได้เลยว่าจะเอาภาษาไหน ส่วนการชำระเงิน หลังจากที่คืนรถเรียบร้อยแล้วเราถึงจะชำระเท่านั้นค่ะ โดยสามารถชำระได้ทั้งบัตรเครดิตและเงินสดเลย
เอาล่ะ!! เมื่อเราได้รถแล้ว GPS บนรถที่เราได้มา หลายคนอาจจะห่วงว่าฉันจะใช้เป็นไหมเนี่ย อ่านก็ไม่ออก 555 ไม่ต้องกลัวเลย เราสามารถปรับเปลื่ยนเป็นภาษาอังกฤษได้นะคะ มีทั้งหมด 4 ภาษาด้วยกัน เมื่อพร้อมแล้วก็ลุยกันเลย
สถานที่ต่อไปที่เราจะพาไปกันวันนี้ ก็คือ เมืองคุรุเมะ จังหวัดฟุกุโอกะ นั่นเอง! >.< เชื่อว่าหลายๆ ท่านอาจจะเคยได้ยินเรื่องราวการเก็บเกี่ยวผลไม้ที่เป็นรูปแบบบุฟเฟ่ต์ใช่มั้ยคะ? ที่นี่เองก็ขึ้นชื่อมากๆ เลยค่ะ โดยเฉพาะหน้าหนาวอย่างการเก็บเกี่ยวสตอเบอร์รี่ แต่ในหน้าร้อนที่กำลังจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงเป็นช่วงของ ‘องุ่น’ ค่า (อยู่ในระหว่างเดือนสิงหาคมถึงกันยายน) แต่ก่อนที่เราจะไปไร่เกี่ยวนั้น เราจะพาทุกคนไปดูต้นตำรับไวน์องุ่นของที่ประเทศญี่ปุ่นกันค่ะ ที่นี่จะมีทั้งร้านอาหาร, คาเฟ่ต์และร้านขายของฝากที่เกี่ยวกับไวน์องุ่นของที่นี่ขายเยอะแยะเลยค่ะ แน่นอนว่ามีสถานที่เก็บไวน์ไว้ด้วยเช่นกัน อย่าลืมปรับ GPS แล้วค้นหาที่ ホイリゲ หรือภาษาอังกฤษ Heurige นะคะ แล้ว GPS จะพาทุกคนไปกันถึงที่เลยล่ะค่ะ ฟิ้วววววว
ทุกท่านเดินทางมาเหนื่อยๆ คงจะหิวแย่เลยสินะคะ งั้นเราแวะไปทานอาหารกันก่อนดีมั้ยคะ? ฮาๆ เอาล่ะ ไปกันเลยยยยยย
พอเราเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ ก็จะพบกับร้านอาหารที่ตั้งอยู่ทางด้านบนสุดค่ะ ร้านอาหารนี้ชื่อว่า Restaurant Café Heurige ค่ะ ร้านอาหารจะเปิดให้บริการทุกวัน ยกเว้นวันอังคารที่จะเป็นเวลาหยุดของร้านค่ะ
เวลาที่เปิดให้เป็นอาหารกลางวัน 11:00-15:00
เวลาที่เปิดให้เป็นคาเฟ่ต์ 14:00-16:00
เมนูของร้านอาหารนี้ มีตามนี้เลย มีแกงเขียวหวานของไทยด้วยนะคะ >.< คนสั่งทานเยอะมากๆ เลย เป็นที่ชื่นชอบของคนญี่ปุ่นสุดๆ แต่ว่าก็ยังแอบเผ็ดสำหรับพวกเขาอยู่ดี ฮาๆ อันนี้คือหน้าตาอาหารที่พวกเราสั่งกันมาทานกันนะคะ
น่าทานใช่มั้ยล่ะคะ พอทานอาหารเสร็จก็ต่อด้วยของหวานเลยค่า อันนี้เป็นชิพฟ่อนเค้ก พร้อมกับไอศครีมรสองุ่นสดๆ จากไร่องุ่นที่นี่เลยค่ะ (รูปด้านล่างเลย)
พอเราทานอาหารและขนมเสร็จแล้วต่อไปเราจะพาไปชมไร่ที่ปลูกองุ่นสำหรับการทำไวน์กันนะคะ ที่นี่คือสวนไร่ที่ปลูกองุ่นชนิดต่างๆ ในการทำไวน์ไว้ค่ะ สวยงามใช่มั้ยล่ะคะ เก็บจากไร่สดๆ แล้วนำไปทำเป็นไวน์,อาหาร และ ขนม
ส่วนสถานที่ต่อไปคือโรงเก็บไวน์ที่อยู่ชั้นใต้ดินนั่นเอง แต่เนื่องจากว่าค่อนข้างมืดมาก เลยไม่สามารถถ่ายรูปชัดๆ ให้เห็นกันได้นะคะ เสียดายมากๆ เลย แต่มีอุปกรณ์ที่เอาไว้ทำไวน์มาให้ชมค่า
ที่นี่เก็บไวน์หายากไว้เยอะแยะมากมายเลยล่ะค่ะ แถมไวน์จะมีอายุถึง 17 ปีด้วยกัน ซึ่งสามารถเก็บไว้นานข้ามปีได้เลยล่ะค่ะ ข้างล่างใต้ดินไม่ใช่แค่เก็บไวน์ไว้นะคะ มีทั้งประวัติผู้ที่ก่อตั้งสถานที่นี้ ผู้ที่คิดค้นเครื่องมือการทำไวน์ ต่างก็ถูกเก็บรักษาเป็นอย่างดีมากๆ ทุกคนจะต้องมาให้ได้นะคะ เพราะว่าน้อยคนมากที่จะได้มาสัมผัสบรรยากาศแบบนี้
นี่เป็นรูปตัวอย่างไวน์ที่ถูกเก็บไว้อย่างดีนะคะ มีชั้นนี้มีทั้งหมด 445 ขวดเชียวล่ะ เราได้แอบ (ต้องใช้คำว่าแอบเลย ฮาๆ) หยิบออกมาดู มันสุดยอดมากๆ เลยล่ะค่ะ ทั้งกลิ่น ทั้งขนาด ทั้งอุณหภูมิการเก็บไวน์ ทุกอย่างมีระบบการรักษาที่ดีเยื่ยมเลยทีเดียวล่ะ
เอาล่ะ ก่อนที่เราจะไปชมร้านขายของฝากนั้น เราแวะไปไร่ที่ปลูกสำหรับทำไวน์กันเถอะค่ะ! พอออกจากชั้นใต้ดินที่เก็บไวน์ แล้วขึ้นไปข้างบนก็จะเจอไร่ขนาดกลางๆ ไม่ใหญ่มากค่ะ
นี่เป็นชื่อชนิดต่างๆ ที่นำมาทำไวน์ในรสชาติต่างๆ นาๆ ค่า แน่นอนว่ามีหลากหลายสายพันธุ์ และเยอะมากๆ จำชื่อไม่หมดจริงๆค่ะ ฮาๆ อันนี้ที่ถ่ายมา เป็นส่วนหนึ่งของไร่เท่านั้นนะคะ
อันนี้คือที่ออกผลเรียบร้อยแล้วค่ะ แต่ว่ายังไม่โตเต็มที่มาก ทางไร่จึงยังไม่เก็บออกไปใช้กันค่ะ น่าทานใช่มั้ยล่ะคะ ถ้าเกิดว่ามาที่ไร่นี้จริงๆ แล้วสัมผัสมันจะบอกว่าฟินแน่นอน รับประกัน
อันนี้คือทางเข้าออกของไร่ที่เราได้ไปดูกันเมื่อกี้นะคะ และตรงนี้ทางไร่บอกว่า ถ้ามาในช่วงเมษายน หรือช่วงฤดูใบไม้ผลิ จะเป็นซากุระบานออก และ ดอกกุหลาบเต็มไปหมดเลยล่ะค่ะ เหมาะกับการถ่ายรูปมากๆ บรรยากาศโรแมนติกสุดๆ (อยากเห็นตอนนั้นจังเลยยยยย)
ต่อไปจะพาไปชมร้านขายของฝากของที่นี่กันนะคะ
ที่นี่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นขายเกี่ยวกับไวน์นี่แหล่ะค่ะ จะมีไวน์หลายๆ ชนิดด้วยกัน ทั้งของนำเข้าและของที่ทางไร่เองก็ได้ทำขึ้นมาเอง ใครที่ชอบดื่มไวน์ห้ามพลาดที่นี่นะคะ และแน่นอนว่ามีไซส์ขวดหลายๆ แบบให้เราได้เอากลับบ้านไปฝากกันได้ด้วยล่ะค่ะ
มีตั้งแต่ขวดขนาดใหญ่ไปจนขวดขนาดเล็กๆ ทำออกมาได้น่ารักมากๆ เลยค่ะ อันนี้คือไวน์ akachann ค่ะ ถ้าแปลเป็นภาษาไทยแปลว่า ไวน์เด็กค่า (แสดงว่าอ่อนและอร่อยแน่นอน >.<)
ในส่วนอีกฝั่งหนึ่งของในร้าน อันนี้คือตัวอย่างไวน์ที่ติดอันดับท๊อป หรืออันดับที่ 1 ที่ขายดีที่สุดเลยล่ะค่ะ เป็นไวน์บลูเบอร์รี่ที่ขึ้นชื่อมากๆเลยล่ะค่ะ ใครที่ชอบดื่มไวน์ก็ห้ามพลาดกันนะคะ และ!! ไม่เพียงแต่ทำออกมาเป็นไวน์เท่านั้นนะคะ ที่นี่ยังปรับเปลื่ยนมาทำเป็นรสชาติของไอศครีมกันอีกด้วยล่ะค่ะ
รสชาติไอศครีมนี้มาจากไวน์บลูเบอร์รี่โดยตรงเลยค่ะ ทางร้านสกัดออกมาแล้วทำเป็นซอร์ฟครีม ต้องไปโดนกันนะคะ! สำหรับเราพอดีเราเป็นคนไม่ชอบดื่มไวน์และไม่เคยทานรสชาติแบบนี้มาก่อน อาจจะรู้สึกแปลกๆ บ้าง แต่กินไปรู้สึกดีมากๆ เลยล่ะค่ะ ใครที่ชอบไวน์ห้ามพลาดจริงๆ (บอกเลยว่าโคนอร่อยมาก ฮาๆ)
เอาล่ะ! ต่อไปเราจะได้ไปเก็บเกี่ยวองุ่นกันสักทีนะคะ นี่แหล่ะค่ะ ของสดจากไร่ที่เราจะได้รับประทานกันแบบสดๆ เลย ลุยกันเลยยยยยย
ฮึบ ฮึบ ฮึบ !
มาถึงแล้วววววว Fruitpie Juran ไร่เก็บเกี่ยวองุ่นกันนั่นเองงงงงง จะพาทุกคนไปฟินกับการเก็บเกี่ยวองุ่นกันแบบสดๆ จากต้นกันเลย โดยไร่ที่นี่จะคิดเงินตามน้ำหนักที่เราตัดองุ่นออกมาจากต้นค่ะ เพราะฉะนั้นแล้วเราอยากจะตัดเท่าไหร่ก็ได้ตามใจชอบเลย แล้วเอาไปชั่งน้ำหนักเอาแล้วจ่ายเงินทีหลังค่า
เอาล่ะ! หยิบตระกร้า กรรไกร ให้พร้อม!! แล้วเราเข้าไปลุยในสวนกันเลย
ที่ไร่นี้ใหญ่และกว้างมากๆ ค่ะ องุ่นที่ไร่นี้เพาะปลูกไว้เยอะมากจนเลือกไม่ถูกกันเลยทีเดียว ทุกท่านคงอยากจะทราบสินะคะว่าจะเลือกองุ่นแบบไหนที่สด และหวาน (เพราะว่ามันอยู่ในถุงทุกคนอาจจะดูไม่ออกว่าดูแบบไหนสด หรืออร่อยเพราะฉะนั้นเรา เราไปดูภาพไปพร้อมๆกันเลยค่ะ)
ให้ดูจากรูปทางซ้ายไปขวานะคะ เรียงลำดับกันเลยก่อนอื่นเลย ให้เราแกะจากก้นถุงเพื่อค่อยๆ ดูว่าองุ่นข้างในนั้นช้ำหรือเปล่า ถุงไหนที่ค่อนข้างแกะง่ายและพออุ้มน้ำหนักขององุ่นแล้วมันไม่หนักเกินไปไม่เบาเกินไป นั่นคือองุ่นที่สมบูรณ์ค่ะ ลองเอามือเป็นตาชั่งแล้วสังเกตน้ำหนักดูนะคะ พอได้อันที่เราถูกใจแล้วก็ตัดออกมาทั้งถุงเลย องุ่นชนิดนี้จะมีเมล็ดนะคะ แต่อร่อยมากๆ พอเราตัดออกมาแล้ว เราก็เอาไปยื่นให้กับคุณป้าที่คอยดูแลไร่กันเลย
เอาล่ะ ต่อมาเราก็เอาองุ่นที่เราเลือกทั้งหมดมาให้กับคุณป้าแล้วชั่งน้ำหนักกันนะคะ อยากจะบอกว่าเก็บจากไร่สดๆ แบบนี้ราคาถูกมากๆๆๆๆๆๆ (ไม้ยมกล้านตัวค่ะ) เพราะว่าถ้าเราไปซื้อตามห้าง หรือ ตามซุปเปอร์มาเก็ต ราคาไม่ได้แบบนี้แน่นอน องุ่นส่วนมากจะอยู่ที่ประมาณ 500เยน ขึ้นไปนะคะ อันนี้ 100 g = 110 เยน, 265 g = 292 เยนค่ะซึ่งเป็นราคาที่ถูกมากๆ และสดจากไร่ด้วย
เราไปเก็บเกี่ยวองุ่นกันเสร็จแล้ว เราลองแวะเข้าไปดูขนมหวานที่ทางไร่ได้นำองุ่นมาทำเป็นของหวานกันค่ะ
แท่น แท๊นนนนน นี่เป็นหน้าตาของขนมหวานทางไร่เป็นคนทำขึ้นค่ะ ตรงกลางๆ นั่นคือองุ่นจากไร่ค่ะ น่ากินมากๆๆๆ แถมหวานด้วยล่ะค่ะ ชิ้นไม่แพงด้วยนะคะ 350-400 เยน เท่านั้นค่ะ
ใครมาที่นี่แล้ว ต้องห้ามพลาดเชียวนะคะบอกเลย (พูดแล้วน้ำลายหยดเลยล่ะ) ซื้อไปทานที่โรงแรมหรือจะทานที่ร้านเลยก็ได้เหมือนกัน มาแล้วอย่าลืมกันนะคะ
เอาล่ะ!! เราก็จบกันไปแล้วกับเมืองผลไม้อย่างเมืองคุรุเมะนะคะ ต่อจากนี้เราจะพาไปชมเมืองอีกที่ ก็คือ เมืองยานากาว่า จังหวัดฟุกุโอกะ ค่า ยานากาว่าเป็นเมืองโจคะมาจิ ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของจังหวัดฟุกุโอกะ ที่ยานากาว่ามีการสร้างแม่น้ำไหลผ่านกลางเมืองเพื่อปกป้องปราสาท ในเมืองยานากาว่าแห่งนี้ มีชื่อเสียงกับนักท่องเที่ยวในเรื่องของ “ล่องเรือ” มากเลยล่ะค่ะ ถ้าพูดถึงล่องเรือในเกาะคิวชูแล้ว แน่นอนว่าต้องมาเมืองนี้แน่นอนค่ะ อันนี้อยู่ตรงแถว Nishitetsu Yanagawa Station ค่ะ ห่างเพียงแค่ 5-10 นาทีเท่านั้น
แต่ก่อนเราจะไปชมล่องเรือ เราแวะมาที่นี่กันก่อนดีกว่า ที่นี่ก็คือ Yanagawa Ohana ค่า สร้างตั้งแต่สมัยเอโดะ เมื่อปี 1603-1867 ค่ะ ที่แห่งนี้เดิมที่เป็นของครอบครัว ‘ทาจิบานะ’ ที่เคยอาศัยอยู่ที่นี่และเป็นผู้สร้างสถานนี้ขึ้นมา ที่นี่มีชื่อเสียงในการชมดอกไม้ และประวัติความเป็นมาของเมืองนี้มากค่ะ และในปี 1994 ได้เปิดให้คนทั่วไปได้เข้าชม ทั้งนี้และทั้งนั้นที่นี่เหมาะกับการชมดอกไม้มากๆ เลยล่ะค่ะ และยังมีประวัติศาสตร์อีกมากมายที่คุณรู้แล้วจะต้องตื่นเต้นไปกับมันแน่นอน ก่อนที่จะเข้าไปชมนั้น เราต้องซื้อตั๋วเข้าไปก่อนค่ะ โดยราคาตั๋วมีด้วยกันดังต่อไปนี้
ราคาผู้ใหญ่ทั่วไป 500 เยน
ราคาสำหรับเด็กนักเรียนมัธยมปลาย 300 เยน
ราคาสำหรับเด็กประถมและมัธยมปลาย 200 เยน
เวลาที่สามารถเข้าไปรับชมได้คือ ตั้งแต่ 9:00 โมงเช้า ถึง 18:00 ค่ะ
พอเราเข้ามาประตูข้างใน เราต้องเข้าไปทางประตูด้านขวาและพอหันไปทางซ้ายเราจะต้องจ่ายเงินที่ Information ก่อนเลยค่ะอันดับแรก และแน่นอนว่ามีคำอธิบายเป็นภาษาอังกฤษพร้อมไม่ต้องห่วงเลยนะคะ เนื่องจากว่าที่นี่ห้ามถ่ายรูปข้างใน ทางเราเลยไม่ได้นำรูปสวยๆ มาฝากกันนะคะ แต่ว่าก็ห้ามพลาดเชียวนะคะ
เอาล่ะค่ะ! เมื่อกี้ก็ได้กล่าวไปคร่าวๆแล้วว่า เมืองยานากาว่าแห่งนี้ขึ้นชื่อในเรื่องของ ล่องเรือ เรามีรูปมาฝากกันค่ะ อยู่ห่างจาก Yanagawa Ohana นิดเดียวเท่านั้นค่ะ
เอาล่ะเราเข้าไปดูกันใกล้ๆอีกนิดนะคะ
นี่คือเรือที่เอาไว้ล่องเรือในยานากาว่าค่ะ ตอนแรกนึกว่าจะไม่เห็นคนนั่งเรือซะแล้ว เพราะว่าเดือนกันยาค่องข้างอากาศอบอ้าวและร้อน แต่ด้วยความบังเอิญ เราเจอคนนั่งแล้วววว
พอได้ถ่ายรูปภาพนี้ออกมาแล้ว เป็นอะไรที่อบอุ่นมากๆเลย ล่ะค่ะ ครอบครัวและคนอื่นๆ ได้มานั่งล่องเรือด้วยกัน และไม่ใช่ล่องเรือกันแบบเงียบๆ นะคะ คนที่พายเรือหรือคนดูแลนั้นได้ร้องเพลงเพื่อสร้างความบังเทิงให้กับนักท่องเที่ยวหรือคนที่มาล่องเรือด้วยล่ะค่ะ โดยบทเพลงพื้นบ้านของเมืองยานากาว่าค่ะ
ราคาการล่องเรือนะคะ
ราคาผู้ใหญ่(ตั้งแต่มัธยมต้น ขึ้นไป) 1,500 – 1,600 เยน
ราคาเด็ก (ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ – ชั้นประถมศึกษา) 800 – 820 เยน
การล่องเรือใช้เวลา 1 ชั่วโมง 30 นาทีโดยประมาณค่ะ เร็วสุดอยู่ที่ 40 นาทีซึ่งถ้าหากใครกลัวว่าจะเบื่อตอนที่นั่งชมเรือ เราสามารถนำอาหาร ข้าวกล่อง ไปทานบนเรือได้ค่ะ และถ้ายิ่งเป็นช่วงดอกไม้บาน หรือซากุระบาน เป็นอะไรที่ดีมากๆ เลยล่ะค่ะ ล่องเรือไปด้วยชมดอกไม้และทานอาหาร สุดยอดเลยล่ะ
และที่ยานากาว่าเอง งานเทศกาลที่โด่งดังมากๆ เกี่ยวกับการล่องเรือก็คือ เทศกาลต่างๆในแต่ละฤดูนั่นเองค่ะ
ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเทศกาลที่เกี่ยวกับเด็กผู้หญิง และ แน่นอนว่าช่วงที่ซากุระกำลังบานด้วยเช่นกัน
- Hina Matsuri Sagemon Meguri (ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ – 3 เมษายน)
ที่ญี่ปุ่นนั้นในฤดูใบไม้ผลิ มีเทศกาลขอพรเพื่อการเติบโตของเด็กผู้หญิงที่เรียกว่า ฮินะมัตสึริ (雛祭り) ซึ่งที่เมืองยานากาวะ สะเกะมง(さげもん) ประเพณีการตกแต่งในรูปแบบการห้อยตุ๊กตาคู่กับการตกแต่งตุ๊กตาฮินะ ซึ่งเป็นสถานที่ขึ้นชื่อชั้นนำของญี่ปุ่น ในทุกๆ ปีวันที่ 11 กุมพาพันธ์ ถึง 3 เมษายนเทศกาลจะถูกจัดขึ้น ภายในเมืองเองในหลายๆ ที่ สามารถชมและเลือกซื้อตุ๊กตาฮินะและสะเกะมงอันหลากหลายได้ และยังมีกิจกรรมให้เด็กผู้หญิงแต่งชุดแบบ โอฮินะซามะ(ตุ๊กตาฮินะที่ใช้ตกแต่ง) และลงไปยังเรือ「กิจกรรมล่องเรือพาเรด」เป็นต้น
- Nakayama Ofuji Festival (ตั้งแต่กลางเมษายน – ช่วงสิ้นเดือนเมษายน)
- Okinohata Suitengu Shrine Festival (ตั้งแต่วันที่ 3 – 5 พฤษภาคม)
ในทุกๆ ปีวันที่ 3 - 5 พฤษภาคม จะจัดเทศกาลเพื่อขอพรให้เรือปลอดภัยจากอุบัติเหตุทางน้ำ บนเรือนั้นมีการแสดงชามิเซ็น, ขลุ่ยและกลอง และเนื่องจากหนึ่งในการแสดงผสมผลานรูปแบบเนเธอร์แลนด์ จึงถูกเรืยกว่า「โอลันดาฮายาชิ(オランダ囃子)」และสองริมฝั่งแม่น้ำต่างมีร้านค้าตั้งเรียงราย ในบรรดาผู้มาเที่ยวงานจำนวนมาก ต่างพาเด็กมาเที่ยวกันอย่างคึกคัก
เทศกาล ช่วง ฤดูใบไม้ร่วง-ฤดูหนาว เทศกาลของสองฤดูนี้ก็ไม่ควรพลาดมากๆเลยนะคะ เพราะว่าเป็นเกี่ยวกับเทศกาลที่จะปิดถนนแล้วมาสร้างความสนุกสนานให้กับทุกคนกันค่า
- Hakushu Festival Water-way Paradise (ตั้งแต่ 1-3 พฤศจิกายน)
เอาล่ะๆ พาไปชมในเมืองกันต่อนะคะ พอเราเดินออกมาเรื่อยๆ เนี่ยเราก็จะเจอถนนสายหลักค่ะ เป็นเมืองที่สงบมากๆ เลย แต่โดยเฉพาะกลางสัปดาห์ ร้านค้าหลายๆ ที่ปิด (ส่วนใหญ่ที่ญี่ปุ่นร้านจะปิดกลางสัปดาห์อย่างวันพุธค่ะ)
เดินไปเรื่อยๆ ลั้ลลา ดูสิ๊เราจะเจออะไรบ้างน้า
เราก็จะเจอแม่น้ำสายที่นั่งล่องเรือนะคะ สังเกตได้ว่ายาวมากๆ รอบเมืองเลยล่ะค่ะ ไม่ใช่แค่สายสั้นๆนะคะ ถึงใช้เวลาล่องเรือนานเป็นชั่วโมงเลยล่ะ แต่เพราะแบบนั้นแล้วก็ทำให้เราได้ชมกับธรรมชาติและเมืองกันแบบสนุกสนาน
ทุกคนคะ ดูสิเราเจออะไรน้า?
นั่นไง!! มีคนกำลังล่องเรือด้วยล่ะค่ะ คราวนี้เป็นครอบครัวเล็กๆ ดูอบอุ่นใช่มั้ยล่ะคะ แต่ที่นี่ยังเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสทดลองการพายเรืออีกด้วยล่ะค่ะ
ว้าวววว คราวนี้นักท่องเที่ยวเป็นคนพายส่วนคนดูแลนั่งชมวิวแทนล่ะค่ะทุกคน น่าสนุกแบบนี้จะพลาดได้ยังไงล่ะคะ ไม่ว่าใครก็สามารถพายเรือนำทุกคนชมธรรมชาติและสนุกสนานไปด้วยกันได้
เอาล่ะ ! เราไปร้านขายของฝากน่ารักๆ ของเมืองนี้กันนะคะ เอาล่ะ เดินตรงไปเรื่อยๆ เราก็จะเจอร้านนี้!
ร้านขายของฝากนี้ชื่อร้านว่า ‘สึบากิยะ’ หรือว่า ‘Tsubakiya’
ร้านนี้ขายของน่ารักๆ เยอะมากเลยล่ะ ใครที่มองหาของฝากให้คนที่บ้าน, เพื่อนๆ หรือญาติพี่น้องนะคะ ต้องมาทีนี้เลย!
นี่ร้านสึบากิยะแห่งนี้บ่งบอกถึงวัฒนธรรมญี่ปุ่นได้ชัดเจนมากๆ เลยล่ะค่ะ เมื่อกี้ได้บอกไปแล้วข้างบนเรื่องของการนำข้าวกล่องทานบนเรือ สังเกตดีๆ นะคะ ที่ร้านนี้โดยส่วนมากแล้วขายแต่ผ้าที่เอาไว้ห่อกล่องเข้าค่า จะบอกว่าคนญี่ปุ่นมักจะชอบใช้ผ้าลวดลายต่างๆ ห่อกล่องข้าวแล้วไปทานกันค่ะ บอกเลยว่าแต่ละผืนเด็ดๆทั้งนั้นค่ะ สวยมากๆ เลย กระเป๋าผ้า กระเป๋าตัง ตะเกียบ และของใช้อื่นๆก็สวยไม่แพ้กันเลยนะคะ
เอาล่ะ!! เมื่อเราเลือกของฝากกันได้แล้ว ตอนนี้เราจะกลับตัวเมืองฟุกุโอกะกันนะคะ >.<
แต่คราวนี้จะเป็นการเริ่มต้นการเดินทางจากสนามบิน Fukuoka International Airport ไปสู่ 筥崎宮 (ศาลเจ้า Hakozaki-gu) กันนะคะ เราจะพาทุกท่านไปงานเทศกาลในเมืองกัน งานนี้ถือว่าเป็นเทศกาลใหญ่ในจังหวัดฟุกุโอกะเลยล่ะค่ะ
แต่คราวนี้เราจะพาทุกท่านไปโดยรถไฟใต้ดินกันนะคะ เนื่องจากตึก International ไม่มีรถไฟใต้ดินให้เราขึ้น เพราะฉะนั้นแล้วเราจะแนะนำวิธีการไปสนามบิน Fukuoka Domestic Airport กันก่อนนะคะ
ก่อนอื่นเลยเมื่อเราออกมาจากเกตแล้ว ให้เราเดินออกไปข้างนอกทันทีเลยค่ะ ทางสนามบินจะมีรถ Shuttle Bus ฟรีไม่เสียตังนั่งไปที่ Domestic Terminal ได้
ให้ทุกท่านนะคะเดินออกประตูแล้วไปที่ป้ายบัสหมายเลข 1 รถคันนี้ไม่เสียตังนะคะย้ำอีกครั้ง ฮาๆ เป็นบริการฟรีจากสนามบินค่า ให้เรานั่งรถคันนี้เพื่อไปลงที่ Domestic Terminal นะคะ
เมื่อเรามาถึงตึก Domestic Terminal แล้ว ให้เราเดินตรงไปที่สถานีรถไฟของสนามบินได้เลยจ้า ลงไปจนถึงชั้นล่างสุดเลยน้า ต่อไปเราจะพาไปซื้อบัตรรถไฟแบบใช้ได้ 1 วันเต็มๆ นะคะ (สามารถไปที่ไหนก็ได้ภายใน 1 วันค่า)
พอเดินลงไปเราก็จะเจอเครื่องซื้อตั๋วนะคะ ไม่ต้องห่วงค่ะ มีภาษาอังกฤษนะคะ แล้วเราก็จะสอนวิธีการซื้อแบบง่ายๆให้ทุกคนกันนะคะ
ขั้นตอนการซื้อตั๋วแบบ One-Day Ticket นะคะ
1) ให้ปรับเป็นเมนูภาษาอังกฤษก่อน
2) ทางด้านซ้ายของเครื่องและเลือกไปที่ปุ่ม One-Day Ticket สีเหลือง
3) จะเจอปุ่ม One-Day Ticket 620เยน ปุ่มสีฟ้าให้กดไปเลยค่ะ
4) ให้เราใส่เงินในเครื่องเพื่อรับตั๋วค่ะ (สามารถใส่แบงค์ 1000,5000,10,000 ได้ค่ะ หรือจะใช้เหรียญก็ได้)
เมื่อเราซื้อเสร็จแล้วก็จะได้ตั๋วหน้าตาแบบนี้ออกมานะคะ แล้วก็เอาไปใช้ได้เลย เอาล่ะ! เริ่มการเดินทางกันเลยนะคะ
ก่อนอื่นเลยเราต้องไปเปลื่ยนสายรถไฟกันก่อน
ให้เราขึ้นรถไฟใต้ดินฝั่งที่เป็นเลขเบอร์ 2 นะคะ พอเราขึ้นรถไฟแล้วนะคะให้เราไปลงที่ สถานี 中州川端駅(สถานี Nakasukawabata) เพื่อไปต่อสายรถไฟอื่นค่ะ ให้สังเกตป้ายตอนถึงสถานี Nakasukawata ด้วยนะคะว่าทางไหนคือเปลื่ยนสายรถไฟ (ดูตามภาพได้เลย)
พอเราเจอทางขึ้นที่จะไปเปลื่ยนสาย Hakozaki Line แล้วให้ขึ้นไปเลยค่า แล้วเราจะไปต่อรถไฟกันเนอะ
ต่อจากนั้นให้หาเบอร์ 1 ไว้นะคะเพราะเราจะขึ้นฝั่งนี้กัน! สังเกตคำว่า Kaizuka ไว้ก็ได้ค่ะจะมองง่ายกว่านะคะ แล้วก็พอรถไฟมาแล้ว ให้เรานั่งไปลงที่สถานี 箱崎宮前 (Hakozaki-Miyamae) หรือ H05
พอเราถึงสถานีนี้แล้วให้ขึ้นไปทางออกทันทีเลยค่า แล้วหาประตูทางออก
ประตูที่เราจะออกกันก็คือ ประตู 1 และ 4 นะคะให้เดินตามป้ายออกไปเลยนะคะ
เอาล่ะ พร้อมที่จะไปเที่ยวงานเทศกาลกันหรือยังเอ่ยยยยยยยย ? ถ้าพร้อมแล้วไปกันเลย!!
อันนี้เป็นบรรยากาศของงานเทศกาลที่จังหวัดฟุกุโอกะนะคะ มีร้านอาหาร ร้านขายของ ร้านให้เล่นกิจกรรมมากมายเลยล่ะค่ะ ถ้าเปรียบกับบ้านเราแล้วก็คืองานวัดนั่นเอง ที่นี่ของกินขายเยอะมากๆ ใครอยากทานอาหารญี่ปุ่นในบรรยากาศเทศกาลแบบนี้ก็ห้ามพลาดนะคะพอเราเดินไปเรื่อยๆ เราก็จะเจอศาลเจ้าที่เราจะมากันนะคะ นั่นก็คือ 筥崎宮 หรือ ศาลเจ้า Hakozaki-gu นั่นเองค่ะ
ที่นี่เป็นที่ๆ นักกีฬาชื่อดังของประเทศญี่ปุ่นมาขอพรเพื่อการแข่งขันประจำเลยล่ะค่ะ และก็ไม่ใช่เพียงแค่นักกีฬาชื่อดังเท่านั้น เด็กๆ ที่อยู่กิจกรรมชมรมเกี่ยวกับกีฬาเองก็มักจะมาขอพรที่ศาลเจ้านี้เพื่อให้พวกเขาได้รับชัยชนะในการแข่งขัน ถือว่าศักสิทธิ์ในเรื่องชัยชนะมากๆ เลยล่ะค่ะ แล้วก็ที่ศาลเจ้านี้เองก็มีการทำบุญอีกด้วยค่ะ ถ้าเป็นบ้านเราเชื่อกันว่า ปล่อยนกปล่อยปลาก็จะได้สิ่งดีๆ กลับมา ที่วัดนี้เองก็เช่นกันค่ะ พวกเขาเองก็มีความเชื่อที่คล้ายๆ กับคนไทยอยู่เหมือนกันค่า
เอาล่ะค่ะก่อนที่เราจะเข้าไปข้างในกัน ก็ขอให้ทุกคนล้างมือตามธรรมเนียมของคนญี่ปุ่นก่อน แล้วเข้าไปข้างในกัน!
พอเข้ามาข้างในแล้วแน่นอนว่าทุกคนต้องเข้ามาขอพรสิ่งที่ตัวเองต้องการไว้ (ตรงนี้ไม่สามารถถ่ายรูปได้นะคะ อันนี้ได้รับการอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ สามารถเก็บภาพมาให้ชมได้ค่า อย่าเผลอไปถ่ายเชียวน้า เพราะกฏที่นี่เคร่งมากๆ เลย แค่ในส่วนตรงนี้นะคะ)
อันนี้เป็นของที่จัดแสดงนะคะ ก็จะมีอะไรหลายๆอย่างเลยล่ะค่ะ แต่ว่าก็ไม่เยอะมากเท่าไหร่
ตอนนี้เราก็พาทัวร์กันเล็กๆ น้อยๆ กันแล้ว คงจะหิวแล้วสินะคะ เดินทางหลายต่อ (ของกินอีกแล้วค่ะ ฮาๆ) เดี๋ยวจะพาไปร้านราเมงที่ขึ้นชื่อของเขตตรงนี้นะคะ เป็นร้านที่เปิดตลอดเวลาเลยค่า ไม่ใช่ร้านที่มาตั้งเฉพาะกิจในเทศกาลนะคะ
ร้านราเมงร้านนี้อยู่ใกล้ๆ กับวัดค่ะไม่ไกลกันมากสังเกตได้จากป้ายใหญ่ๆ ได้เลย ร้านนี้เป็นร้านขายราเมงหลักๆ แต่เมนูอื่นก็มีนะคะ อย่างเช่นมีทั้งยากิโทริ (ไก่ หรือ หมูย่าง) อร่อยมากๆ เลยล่ะค่ะ ไม่แพงมากจนเกินไปด้วย แต่วันนี้เราอยากจะแนะนำเมนูเบสิคอย่างทงคตสึราเมง ซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของคิวชูให้ทุกคนได้ทานกันนะคะ
บอกเลยว่าน้ำซุปเข้มข้นมากจริงๆ แถมให้เยอะมากๆเลยล่ะค่ะ แต่เราไม่ชอบกินจืดๆเลยใส่พริกเพื่อความแซ่บค่ะ ฮาๆๆ ต้องมาลองนะคะ ไม่มานี่ไม่ได้เลยน้า อาหารอย่างอื่นของเขาก็อร่อยนะคะ ใครชอบอะไรก็จิ้มรูปกันได้เลยยยยย แต่ยังไงก็ขอแนะนำราเมงนี่ล่ะค่ะ สุดยอดดดด
ตอนนี้เราก็ได้แนะนำสถานที่ต่างๆให้ทุกคนได้รับทราบกันแล้วนะคะ จังหวัดฟุกุโอกะเองก็เป็นจังหวัดที่มีอะไรหลายๆ อย่างที่เรายังไม่รู้ให้ลองไปเปิดประสบการณ์กันอยู่นะคะ เรื่องวิธีการเดินทางไม่ยากเลย ถ้าต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้เลยนะคะ ทางจังหวักจะคอยช่วยเหลืออย่างเต็มที่เลยค่ะ เพื่อทุกคนที่ต้องการจะมาเที่ยวเกาะคิวชูแล้วล่ะก็ยินดีช่วยเหลือเลยค่า เกาะคิวชูยังมีอะไรอีกมากมายที่น่าลองและน่าตื่นเต้น อย่าลืมแวะไปจังหวัดที่อื่นในคิวชูกันด้วยนะคะ